ถกสูตรลับ พาเฟสติวัลไทยโกอินเตอร์ สร้าง ‘เทศกาลไทย’ แทน ‘การนำเข้า’

จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 สำหรับมหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ครั้งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน งาน “SPLASH – Soft Power Forum 2025” นำเสนอศักยภาพ 14 อุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ของไทย เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็น Soft Power Hub แห่งเอเชียอย่างเต็มกำลัง ณ ฮอลล์ 1-4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ภายในงานมีการเสวนาต่างๆ หนึ่งในหัวข้อที่น่าสนใจ “สูตรลับพาเทศกาลไทยไประดับโลกด้วยพลังอินฟลูเอนเซอร์” โดย พงศ์สิริ เหตระกูล ผู้จัดงาน Awakening Festivals, กอบเกียรติ แสงวนิชย์ ผู้จัดงานวิ่ง Amazing Thailand Marathon Bangkok และ IRONMAN 70.3 Bangsaen, เธียรชัย พิสิฐวุฒินันท์ ผู้บริหารเวทีราชดำเนิน และ นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ผู้จัดงาน The Secret Sauce Summit ดำเนินรายการโดย ชัยนนท์ หาญคีรีรัตน์ พิธีกรและผู้ประกาศข่าว

พงศ์สิริระบุถึงภาพรวมของประเทศไทยในการจัดงานอีเวนต์ โดยเผยว่า ขณะนี้ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจประเทศไทยมีความหนืด และเฟสติวัลไม่ใช่หนึ่งในปัจจัยสี่ แต่เฟสติวัลคือความบันเทิงที่คนจะเลือกเสพหรือไม่เสพ ถ้าหากเฟสติวัลมีเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยวไทย แน่นอนว่าบัตรเข้าชม หรืออะไรก็ตามแต่คงขายได้ยาก ขณะเดียวกันหากเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติก็มีโอกาส แต่ต้องระวังในเรื่องการหาความเป็น “เอกลักษณ์เฉพาะตัว” ของประเทศ เนื่องจากทุกวันนี้งานเทศกาลมีความคล้ายคลึงกันในหลายแห่ง หากประเทศไทยมีเอกลักษณ์หรือแตกต่าง นอกเหนือจากการที่จะมีต่างชาติเข้ามาศึกษาดูงานแล้ว ยังนำมาเป็นจุดขายเพื่อเรียกนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้อีกด้วย

“สิ่งสำคัญคือเราต้องถามตัวเองว่าเราต้องการอะไรในการที่จะก้าวขึ้นไปเป็น Festival Nation ผลลัพธ์ที่ต้องการคือเราอยากจะเห็นต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวและจับจ่ายใช้สอย กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเทศกาลที่เราจัดขึ้นในบ้านเรา อย่างแรกเลยที่เราต้องทำคือเราทำมันด้วยวิสัยทัศน์แบบไหน ถ้าถามว่าจะขยับอะไรตอนนี้เพื่อให้เราก้าวไปเป็น Festival Nation คือผมอยากขยับวิสัยทัศน์” พงศ์สิริกล่าว

ก่อนจะเผยว่า ถ้าหากประเทศเราต้องการให้มีต่างชาติเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจจริง รัฐบาลควรจะสนับสนุนเทศกาลของประเทศไทยแทนการนำเทศกาลของต่างประเทศเข้ามาในไทย อาทิ เทศกาลดนตรีทูมอร์โรว์แลนด์ (Tomorrow Land) ที่รัฐบาลได้มีการนำมาจัดครั้งแรกที่ประเทศไทยในปี 2026 โดยมีแผนหนุนการท่องเที่ยว และส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานานาชาติ

กับเรื่องนี้พงศ์สิริตั้งคำถามว่า ประเทศไทยอยากก้าวไปเป็น Festival Nation แต่จะนำเทศกาลของต่างชาติเข้ามาทำไม หรือก่อนหน้านี้ที่เราอยากให้เทย์เลอร์ สวิฟต์ มาจัดคอนเสิร์ตที่ไทยก็เช่นเดียวกัน เพราะถ้าหากเรามีการนำเข้าเทศกาลของต่างชาติในลักษณะนี้ ประเทศไทยจะกลายเป็นตัวแทนจัดอีเวนต์ เป็นออร์แกไนเซอร์ ไม่ใช่ Festival Nation และไม่ได้เป็นซอฟต์พาวเวอร์อย่างที่เราต้องการ

“แทนที่เราจะไปเอาของเขามา ทำไมเราถึงไม่สร้างทูมอร์โรว์แลนด์ของเราขึ้นมา หรือมีเทย์เลอร์ สวิฟต์เป็นของตัวเอง ยกตัวอย่างเกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ใหญ่ ก็ไม่ได้มีการนำเข้าเทศกาลของต่างชาติเข้ามาเพราะประเทศเขามี BLACKPINK หรือ BTS ศิลปินชื่อดังที่เรียกนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ เพราะฉะนั้นเราต้องมีเทย์เลอร์ สวิฟต์ มีทูมอร์โรว์แลนด์เป็นของตัวเองให้ได้ แล้วเงินทั้งหมดจะเป็นของประเทศไทยเรา ถ้าวิสัยทัศน์ของเราถูกต้อง โครงสร้างงบประมาณก็จะถูกต้อง ลองนึกภาพเงินที่ใช้ไปกับการนำเทศกาลต่างชาติมาลง เทียบกับเงินที่นำมาสนับสนุนเทศกาลของไทยคงต่างกันมากสุด 30 เท่า เราเป็นประเทศที่ได้เปรียบ มีวัฒนธรรมที่ดี มีวัตถุดิบที่ดีมา หลายอย่างพร้อมมากในการที่จะเป็นเฟสติวัล ตอนนี้เหลืออย่างเดียวคือโครงสร้าง สิ่งที่ยั่งยืนที่สุดคือเราต้องเป็นอุตสาหกรรมที่สามารถสร้างเทย์เลอร์ สวิฟต์ สร้างทูมอร์โรว์แลนด์ได้ ไม่ใช่การไปนำเข้ามา” พงศ์สิริกล่าว

ภาพประกอบข่าว

นครินทร์ เสริมว่า จุดแข็งที่ประเทศไทยมี ประกอบไปด้วย 3 S คือ “Soft Power” ที่มีเยอะมาก ทั้งอาหาร ดนตรี ศิลปะ หมอลำ ทั้งหมด้ล้วนมีเอกลักษณ์ รวมไปถึงการมี “Strategic Location” หรือทำเลที่ตั้ง ประเทศเรามีโลเกชั่นที่ดีมาก ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวหากจะมาเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนก็ต้องมาเที่ยวที่ประเทศไทย จุดแข็งต่อมาคือ “Skill” ตนกล้ารับประกันว่าคนไทยมีทักษะที่ไม่แพ้ใคร เรามีบุคลากรที่มีคุณภาพเพียงแต่ว่าเรื่อง Global Standard อาจจะต้องมีการปรับปรุง

สำหรับจุดอ่อนคือ “System” ไม่ว่าจะเป็นระบบเรื่องกฎหมายในการสนับสนุนให้ถูกทาง หรือการทำอย่างไรให้โครงสร้างพื้นฐานถูกพัฒนามากยิ่งขึ้น ต่อมาคือ “Stability” หรือความเสถียรภาพ ถ้าหากการเมืองของเรายังไม่นิ่ง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เราอยากเป็นเมืองแฟชั่นโลกเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหน เราอยากเป็นทุกอย่าง แต่มันขาดความต่อเนื่อง และไม่ชัดเจน การจะจัดงานแต่ละครั้งจะต้องมีการวางแผนและล็อกวันไว้ให้แน่นอน เพื่อให้คนจำได้และมาร่วมงานอย่างต่อเนื่อง นั่นถึงจะเป็นเฟสติวัลได้อย่างแท้จริง

จุดอ่อนที่สามคือ “Support” วันนี้รัฐบาลสำหรับผมนั้นซัพพอร์ตผิดจุดมาก จุดหนึ่งที่เรามองว่าต้องรีบปล่อยทันทีคือการซัพพอร์ตอีเวนต์ต่างประเทศให้มาอยู่ในประเทศไทย เราต้องเปรียบเทียบว่าในบ้านเราอีเวนต์แบบไหนที่ทำได้และทำไม่ได้ การนำต่างชาติเข้ามาก็มีข้อดีอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่การนำเข้าทุกอย่าง อาทิ รถยนต์ EV ที่ผลิตโดยประเทศจีน ในทางกลับกันไทยผลิตเองได้ไหม ได้แน่นอนแต่อาจจะต้องอาศัยการพัฒนา

“ถามว่าถ้าเราจะนำเทย์เลอร์ สวิฟต์มาที่ไทยนั้นถูกไหม ก็ถูกครึ่งหนึ่ง แต่เราไม่ควรทำแบบนี้ตลอดไป สิ่งที่เราควรทำมากกว่าคือการหาทางจับมือกับผู้จัดเหล่านั้นให้ได้” นครินทร์กล่าว

ด้าน เธียรชัย กล่าวในฐานะผู้บริหารเวทีมวยราชดำเนินว่า เห็นภาพรวมในตลาดมวยไทย ย้อนไปช่วงโควิด วงการมวยไทยย่ำแย่มาก หลายคนบอกว่ามวยไทยจะตาย เพราะไม่มีคนมาดู แต่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีภาคเอกชน ภาครัฐ รวมไปถึงคนในวงการที่ช่วยผลักดันมวยไทย กีฬาที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย หลังจากนั้นเราก็เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ และเน้นสามเรื่องหลัก คือ Sport Destination, Culture Destination และ Entertainment ตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา กลุ่มคนดูก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เราโตขึ้นจากเดิมหลายสิบเท่า ภาพจำมวยไทยในอดีตคนมักจะเรียกผู้ชมว่าเซียนมวย แต่ทุกวันนี้หากมาที่เวทีราชดำเนิน เราจะเห็นต่างชาติ 80-90% ที่มาจาก 190 ประเทศทั่วโลก ที่เดินทางมาดูมวยที่ราชดำเนิน

“ทุกวันนี้เราทำเซอร์เวย์เมื่อปี 2024 แล้วเซอร์ไพรส์มาก 45% เป็นกลุ่มชาวต่างชาติที่มาเดตกัน 30% มาแฮงเอาต์กับเพื่อน และที่ชื่นใจมากคือ 10% เป็นครอบครัวที่พาเด็กมาดู ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เราก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงจากการร่วมมือกันของทุกฝ่ายเป็นเอกลักษณ์ที่ดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาดูมวยที่ประเทศไทย” เธียรชัยกล่าว

พร้อมทั้งระบุว่า ประเทศไทยมีจุดแข็งคือ โครงสร้างพื้นฐานและการที่เราเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวอยู่แล้ว ถ้าเทียบกับในประเทศอาเซียนแล้ว เราเป็นหนึ่งในฮับที่คนมาเยอะที่สุดในโลก สำหรับราชดำเนินเรามีจุดมุ่งหมายหลัก 2 สิ่ง คือ เราอยากจะเป็นดิสนีย์แลนด์ ของไทย หรือหอไอเฟลของกรุงเทพฯ ที่ต่างชาติเมื่อมาเยือนประเทศไทยจะต้องอยากมาดูมวยที่ราชดำเนิน อีกทั้งเรามีโครงการที่อยากจะสร้างให้มีความเป็น Destinations มากขึ้น โดยมีความคิดที่จะสร้างพิพิธภัณฑ์ และอย่างถัดมาคือการทำ Sport Program อยากจะให้มวยไทยพัฒนาไปไกลถึงระดับ NFL NBA หรือฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ ปัจจุบันเราก็การถ่ายทอดรายการของเวทีเราไปมากกว่า 200 ประเทศ แต่ก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเพราะเรายังอยากจะพัฒนาต่อไปอีกมาก

ขณะที่ กอบเกียรติ เผยถึงมุมมองของผู้จัดงานวิ่งว่า การวิ่งก็นับว่าเป็นเรื่องของสุขภาพ ซึ่งสุขภาพก็สำคัญในการใช้ชีวิตประจำวัน หากเราสุขภาพดีก็จะมีแรงไปสู้รบตบมือกับสิ่งที่เจอในแต่ละวัน อีกทั้งยังมีพลังดูแลครอบครัว โดยเทรนด์การวิ่งเริ่มจากช่วงโควิดเพราะคนหันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น เชื่อว่ากิจกรรมการวิ่ง หรือกิจกรรมสร้างสรรค์ และมีความท้าทายให้กับชีวิตเป็นเรื่องที่กำลังมา ขณะเดียวกันอีเวนต์งานวิ่งก็มากขึ้น โดยมีการจัดแทบทุกอาทิตย์ทั่วประเทศไทย

ภาพประกอบข่าว

ถกสูตรลับ พาเฟสติวัลไทยโกอินเตอร์ สร้าง ‘เทศกาลไทย’ แทน ‘การนำเข้า’

“เฟสติวัลมันมีพลังมหาศาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เวลาจัดงานวิ่งครั้งหนึ่งเราต้องดูแลผู้ร่วมงานจากทั่วโลกนับแสนคน คนหนึ่งคนที่จะมาใช้เงินในประเทศนั้นเงินไม่ได้เข้าแค่กับผู้จัดอย่างเดียว แต่เงินอีกสิบเท่าที่เราได้มานั้นจะถูกกระจายไปอยู่กับอาหารการกิน ที่พัก หรือการซื้อของที่ระลึก เพราะฉะนั้นเฟสติวัลของไทยมีสิทธิที่จะโกอินเตอร์ไปในระดับโลกได้ทุกทาง และมีโอกาสสูงมาก เนื่องจากเสน่ห์ของประเทศไทยคือ ‘ความยืดหยุ่น’ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์

ซึ่งกอบเกียรติยกตัวอย่างเมื่อครั้งเดินทางไปดูงานที่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่มีข้อจำกัดมากมาย ส่งผลให้เราไม่สามารถจัดงานในแบบที่ผู้จัดต้องการได้ ขณะเดียวกันประเทศไทยที่มีความยืดหยุ่นก็ต้องจัดงานให้ดีทำให้ได้เทียบเท่ากับมาตรฐานในระดับสากล ผู้จัดต้องฝัน ฝึก ให้ตัวเองดีกว่าคนทั่วโลกอยู่แล้ว เพียงแต่เราต้องเชื่อมั่นในวัฒนธรรมของไทย และนำมาปรับใช้กับงาน เราไม่เป็นสองรองใครแน่นอน รวมไปถึงเรามีจุดแข็งคือเรื่องการท่องเที่ยว อีกทั้งยังมีราคาถูก หากมาร่วมงานเฟสติวัลแล้วนักท่องเที่ยวก็สามารถอยู่เที่ยวต่อได้เลย” กอบเกียรติกล่าว

พร้อมทั้งระบุว่า สำหรับสิ่งที่ต้องปรับปรุงคือความยั่งยืน ไม่ใช่แค่ผู้จัดเท่านั้นที่ต้องทำ แต่ยังรวมไปถึงผู้สนับสนุน ไปจนถึงเจ้าของไอเดีย จะต้องมีความมุ่งมั่น อย่างเวลาเราจัดงานเราจะขออย่างน้อย 5 ปี ให้งานมีอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ นครินทร์ ในฐานะคนทำงานในวงการสื่อ ซึ่งล่าสุดได้มีการจัดงานที่ จ.ขอนแก่น เผยถึงเหตุผลว่า ตนเห็น 4 เทรนด์ที่กำลังมาในปัจจุบัน คือ “experience” ตอนนี้คนใช้จ่ายกับการซื้อประสบการณ์มากขึ้น มีตัวเลขบอกชัดในระดับโลก เช่น วัยรุ่น มีเงินจำกัด แทนที่จะนำไปซื้อของที่มีราคาแพง เขาจะนำเงินไปซื้อบัตรดูคอนเสิร์ต หรือกีฬาที่ชื่นชอบ ซึ่งนี่เป็นเทรนด์ระดับโลกที่คนนำเงินไปจ่ายสำหรับประสบการณ์มากกว่าการซื้อสิ่งของอย่างเดียว โดยตัวเลขจาก World Economic Forum บอกว่าเทรนด์ดังกล่าวจะเติบโตทุกปี ปีละ 16% เพราะฉะนั้นหลังจากนี้ เฟสติวัลจะโตขึ้น 1.5 เท่าในรอบ 10 ปี ดังนั้นทุกประเทศก็จะแข่งขันกันมากขึ้น ถัดมาคือ งานมีความ “Niche” มากขึ้น หรือเฉพาะกลุ่มมากยิ่งขึ้นในการจัดงานแต่ละครั้ง อย่างคอนเทนต์ต่างๆ จะมีการลงรายละเอียดไม่เหมือนกัน เช่น งานวิ่ง งานจิบชา งานโยคะ เป็นต้น

ต่อมา “เทคโนโลยี” ปัจจุบันคนใช้โซเชียลมีเดียเยอะมาก จะเห็นได้จากอีเวนต์ต่างๆ เวลาคนจะไปนั้นเลือกตัดสินใจจากอินฟลูเอนเซอร์ หรือการทำ “Influencer Marketing” ที่ไม่ใช่แค่การแปะป้ายโฆษณาในหนังสือพิมพ์อีกต่อไปแล้ว สุดท้ายคือ “Sustainability” ในปัจจุบันการจะจัดงานอีเวนต์ในแต่ละครั้งจะต้องมีความยั่งยืนมากขึ้น ล่าสุด คอนเสิร์ตศิลปินระดับโลกอย่าง Coldplay ก็มีการพยายามทำให้ยั่งยืนมากขึ้น และให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เช่นเดียวกัน

สำหรับวงการสื่อ สิ่งหนึ่งที่ได้เปรียบคือการทำคอนเทนต์ ซึ่งตนทำทุกวัน แต่เราทำคอนเทนต์เพื่อสร้าง “คอมมูนิตี้” เพื่อยึดโยงกลุ่มคน เพราะฉะนั้นสื่อหลายแห่งผันตัวมาทำอีเวนต์ ทำสัมมนาเป็นของตัวเองเพิ่มมากขึ้น เพราะสื่อมีคอนเทนต์ และคอมมูนิตี้ที่ดีจึงนำสองสิ่งนี้มารวมกัน เปลี่ยนจากคนอ่าน คนดู และคนฟัง ให้กลายมาเป็นคนซื้อบัตร ล่าสุดที่เราไปจัดงานที่ภาคอีสาน เป็นเพราะเราเห็นว่าคนในพื้นที่นั้นๆ ยังมีความต้องการอีกเยอะมาก แม้เศรษฐกิจจะไม่ดีแต่ยังคงมีกลุ่มคนที่ยังไปต่อได้และยังต้องการคอนเน็กชั่น และคอนเทนต์ที่ดีอยู่ แต่กลับหาไม่ได้ในอีสาน จนต้องบินมาที่กรุงเทพฯ เราเห็นโอกาสตรงนี้จึงไปจัดงานที่นั่น ด้วยความคิดที่ว่าประเทศไทยไม่ใช่กรุงเทพฯ

“ไปปีแรกอาจจะยังไม่ระเบิดมาก แต่พอจัดเป็นปีที่สองเราเริ่มเห็นแล้วว่าคนสนใจ มีคนมาร่วมงานหลายพันคน สำหรับสื่ออย่างเราว่าตอนนี้อีเวนต์ไม่ได้กระจุกอยู่แค่กรุงเทพฯ แล้วแต่มันกระจายไปในหลายภูมิภาคขึ้นอยู่กับว่าเราหาดีมานด์เจอไหม และสื่อสารกับเขา สร้างอีเวนต์ที่มีคุณภาพและตอบโจทย์กับเขาได้มากน้อยแค่ไหน” นครินทร์กล่าว

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่