SCGD เผย Q2/68 กำไรสูงสุดรอบ 5 ไตรมาส จ่ายปันผลครึ่งปีแรก 0.15 บาท

SCGD เผยผลประกอบการไตรมาส 2/68 กำไรไม่รวมค่าใช้จ่ายปรับโครงสร้างธุรกิจ 283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากโครงการลดต้นทุนพลังงาน เตรียมคว้าโอกาสจากการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ในเวียดนาม และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG Decor (SCGD) ผู้นำธุรกิจเซรามิก วัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ ในภูมิภาคอาเซียน

เปิดเผยว่า ผลประกอบการไม่รวมค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างธุรกิจในไตรมาส 2/68 มี EBITDA อยู่ที่ 879 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน มีกำไร 283 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากไตรมาสก่อน จากโครงการลดต้นทุนพลังงาน เร่งผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) รวมถึงปรับโครงสร้างธุรกิจ

ส่งผลให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายที่ลดลง บริษัทมี EBITDA on sales อยู่ที่ร้อยละ 15.2 และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 4.8 ซึ่งสูงสุดในรอบ 5 ไตรมาสที่ผ่านมา นับตั้งแต่ไตรมาส 2/67

นอกจากนี้ ปริมาณการขายกระเบื้องในไตรมาส 2/68 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 31.7 ล้านตารางเมตร โดยได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของตลาดภูมิภาคโดยเฉพาะในเวียดนาม ซึ่ง SCGD มีธุรกิจ PRIME ที่สามารถบริหารต้นทุนให้แข่งขันเทียบเท่าผู้เล่นระดับโลกคือจีนและอินเดีย

จากการที่บริษัทปรับตัวเชิงรุกพร้อมรับมือความผันผวน เดินหน้าติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก

และในประเทศอย่างใกล้ชิด ทำให้มั่นใจว่าธุรกิจจะสามารถคว้าโอกาสจากความท้าทายจากเศรษฐกิจได้ด้วย

3 กลยุทธ์เข้มข้น ดังนี้

1.ปักหมุดเวียดนามเป็นฐานการผลิต-ส่งออก เสริมศักยภาพความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก โดยเวียดนามเริ่มผลักดันต้นทุนการผลิตกระเบื้องให้เทียบเท่ากับผู้เล่นระดับโลกได้แล้ว อีกทั้งเร่งเพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนกว่า 25% ของกำลังการผลิตรวม

ส่งผลให้เวียดนามมีปริมาณการขายกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนสูงขึ้นสอดคล้องกับความนิยมและความต้องการของตลาด เตรียมพร้อมเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก รองรับการเติบโตของภูมิภาค

2.ขยายพอร์ตสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง และธุรกิจที่มีการเติบโตสูง เจาะตลาดทุกเซกเมนต์ด้วยสินค้า HVA และสินค้านำเข้าคุณภาพ ราคาและต้นทุนที่แข่งขันได้ อาทิ กลุ่มสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA)

ปัจจุบันบริษัทมียอดขายกลุ่ม HVA กว่า 37% ของรายได้จากการขายเทียบกับปีก่อนที่ 34% อีกทั้งขยายพอร์ตสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่องในไทย ที่จะเพิ่มโอกาสความหลากหลาย (Sourcing) ตอบโจทย์กลุ่มที่มีความต้องการเฉพาะเจาะจง

3.มุ่งลดต้นทุนการผลิต-การบริหารจัดการ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ ลดต้นทุนการผลิตแล้วกว่า 36 ล้านบาทต่อปี ด้วยโครงการการใช้พลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์และเชื้อเพลิงชีวมวลที่แล้วเสร็จในปีนี้

อีกทั้งโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มเติม อาทิ โครงการติดตั้งระบบ Hot Air Generator ที่โรงงานนิคมหนองแค ทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล จะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/69

ลดต้นทุนการบริหารจัดการ ด้วยการปรับลดเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) อย่างต่อเนื่อง ด้วยการควบคุมสินค้าคงคลัง และบริหารจัดการลูกหนี้ทางการค้า

อีกทั้งการปรับโครงสร้างธุรกิจใช้ AI และระบบ Digital เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สามารถลดต้นทุนรวมได้กว่า 140 ล้านบาทต่อปี

นายนำพลกล่าวว่า บริษัทมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 38,787 ล้านบาท และยังคงความแข็งแกร่งทางการเงิน มีความสามารถในการเติบโตระยะยาว รวมทั้งยังมีการจัดการเงินทุนและการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ เน้นให้สอดคล้องกับแผนการเติบโตในอนาคต

ล่าสุด บริษัทได้ร่วมมือกับ AXENT Switzerland ศึกษาความเป็นไปได้ ในการขับเคลื่อนการเติบโตตลาดสุขภัณฑ์อัจฉริยะครบวงจร ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นอกจากนี้ ในครึ่งปีแรก 2568 บริษัทได้ขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ไปยังต่างประเทศ และเพิ่มผู้แทนจำหน่ายเป็น 177 ราย และมียอดขายสุขภัณฑ์ในต่างประเทศ 244 ล้านบาท และสำหรับการขยายธุรกิจสินค้าและบริการเกี่ยวเนื่องภายในไทย เพื่อต่อยอดไปสู่อาเซียนในอนาคต

โดยในครึ่งปีแรก 2568 บริษัทมียอดขายจากสินค้าและบริการเกี่ยวเนื่องกว่า 208 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งดังกล่าว คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท (คิดเป็นเงิน 247.5 ล้านบาท)

โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 27 สิงหาคม 2568 กำหนดวันที่ XD ในวันที่ 8 สิงหาคม 2568 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 13 สิงหาคม 2568

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่