‘กรุงเทพฯ’ ก้าวข้ามแผ่นดินไหว กูรู AIT ฟันธงตึกสูงในไทยปลอดภัย-มาตรฐานสูง

“แอ่งดินอ่อนกรุงเทพฯ”, กฎหมายปี 2550 มาตรฐานสูง, รู้จัก Roof Drift Ratio, ไฮไลต์ “เชียร์วอลล์ต้องเหนียว”

ภาพประกอบข่าว

แสนสิริดีเดย์ 27 พฤษภาคม 2568 จัดเสวนาหัวข้อ “Beyond Blueprints 60 วันหลังแผ่นดินไหว ก้าวต่อด้วยพลังความร่วมมือ” โดยหนึ่งในไฮไลต์มีปรมาจารย์ด้านแผ่นดินไหว “ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย” หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมโครงสร้าง สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ บรรยายพิเศษหัวข้อ “ผลกระทบของภัยพิบัติแผ่นดินไหวจากรอยเลื่อนสะกายต่ออาคารสูงในกรุงเทพฯ” มีสาระสำคัญที่น่าสนใจ ดังนี้

“แอ่งดินอ่อนกรุงเทพฯ”

“แอ่งดินอ่อนกรุงเทพฯ”, กฎหมายปี 2550 มาตรฐานสูง, รู้จัก Roof Drift Ratio, ไฮไลต์ “เชียร์วอลล์ต้องเหนียว”

ภาพประกอบข่าว

“ศ.ดร.เป็นหนึ่ง” เปิดประเด็นว่า แผ่นดินไหวเราไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในเร็ววัน และเรากำลังเรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้อยู่ โดยแอ็กติวิตี้ด้านแผ่นดินไหวเกิดขึ้นเยอะในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา ไหวเยอะ ๆ ในประเทศพม่า จีนตอนใต้ ทะเลอันดามัน ส่วนไทยมีภาคเหนือกับฝั่งตะวันตก แต่ไม่ค่อยมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่กรุงเทพฯเลย

แผ่นดินไหวทั้งหมดเกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก ตำแหน่งเกิดคือรอยเลื่อนของเปลือกโลก โดยเมืองไทยมีรอยเลื่อนขนาดเล็กที่มีอัตราการเลื่อนตัวต่ำ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาเป็น 1,000 ปี จึงจะทำให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ๆ สักลูกหนึ่ง โดยเมื่อ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา เกิดการไถลตัวของแนวรอยเลื่อนสะกาย ผ่านเมืองมัณฑะเลย์ ไถลผ่านมาที่เมืองเนย์ปิดอว์ เป็นแนวยาวหลายร้อยกิโลเมตร ตลอดแนวนี้การสั่นสะเทือนรุนแรงมาก

ในพื้นที่ออกห่างออกไป ความรุนแรงก็ลดหลั่นลงไปตามลำดับ ยิ่งไกลก็ยิ่งเบา แต่ปัญหามีอยู่ว่ามันมาแรงใหม่อีกทีที่กรุงเทพมหานคร เกิดอะไรขึ้น เพราะปกติ “คลื่นสั่นสะเทือน” เวลาวิ่งไปไกล ๆ จะลดทอนความแรงลงไป เป็นเรื่องที่รู้กันมานานแล้วในหมู่วิศวกรรมแผ่นดินไหว ว่าสภาพทางธรณีวิทยาบางรูปแบบ มันขยายความรุนแรงแผ่นดินไหวได้ รูปแบบนั้นส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ที่มี “ดินอ่อน” หรือพื้นที่ที่มีลักษณะเป็น “แอ่งดินขนาดใหญ่”

ข้อมูลธรณีวิทยา 5 จังหวัดรวมกรุงเทพฯ เป็นแอ่งดินอ่อนขนาดใหญ่ เรียกว่า “แอ่งกรุงเทพฯ” ซึ่งสามารถขยายความรุนแรงของแผ่นดินไหวได้ 3-4 เท่าตัว และมันก็ขยายความแรงในช่วง “ความถี่ต่ำ” คำอธิบาย คลื่นความสั่นสะเทือนแบ่งเป็นความถี่สูง ความถี่ต่ำ โดยความถี่ต่ำเป็น “คาบความสั่นยาว” หรือคาบยาว ถ้าความถี่สูงเป็นแผ่นดินไหวคาบสั้น

งานวิจัยพบว่า แอ่งดินอ่อนมีรูปร่างเหมือนกระทะธรรมดา โดยก้นกระทะอยู่ที่กรุงเทพฯ ความลึก 800 เมตร ขอบกระทะอยู่ที่ฉะเชิงเทรา ชลบุรี นครนายก พระนครศรีอยุธยา และสมุทรสงคราม เป็นแอ่งดินอ่อนขนาดยักษ์ ซึ่งมีหลาย ๆ จังหวัดอยู่ในนั้น แล้วแอ่งดินอ่อนก็สามารถขยายความถี่คลื่นเป็นคลื่นคาบยาวได้ แต่ว่าลักษณะการขยายขึ้นกับความลึก ขึ้นกับลักษณะผิวดินนั้น ๆ เหตุการณ์คือ คลื่นแผ่นดินไหวมาจากพม่า มาถึงแอ่งดินอ่อนก็ขยายความแรงขึ้นมา และคลื่นที่ขยายความแรงเรียกว่าเป็นคลื่นความถี่ต่ำหรือคาบยาว ผลก็คือไปส่งผลต่ออาคารบางรูปแบบ ส่วนใหญ่เป็นอาคารสูงที่มีจังหวะในการโยกตัวเป็นคาบยาว เหมือนกับการสั่นสะเทือนของพื้นดิน ไม่ว่าจะเป็นอาคารที่แชร์ในโซเชียลมีเดีย แม้แต่รถไฟฟ้าก็มีการโยกตัว

“แอ่งดินอ่อนกรุงเทพฯ”, กฎหมายปี 2550 มาตรฐานสูง, รู้จัก Roof Drift Ratio, ไฮไลต์ “เชียร์วอลล์ต้องเหนียว”

ภาพประกอบข่าว

ไฮไลต์งานนี้ก็เป็นอาคารกำลังก่อสร้างของ สตง.ที่ทุกคนทราบดีว่ามีการพังถล่มลงมา เป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลกว่า กรุงเทพฯอยู่ห่างจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวของรอยเลื่อนสะกาย 1,000 กิโลเมตร แล้วทำไมผลกระทบถึงรุนแรงขนาดนี้ งานวิจัยที่ค้นพบ อาคารสูง 50 ชั้น จะมีคาบในการสั่น 5 วินาทีต่อรอบ, สูง 20 กว่าชั้นคาบการสั่น 2.4 วินาทีต่อรอบ, อาคารเตี้ย 10 กว่าชั้นคาบการสั่น 1.1 วินาทีต่อรอบ

แนวการวิจัย การที่แผ่นดินโยกช้า ๆ คาบในการสั่นของอาคารสูงจะโยกแรงกว่าอาคารเตี้ย เกิดอาการ Resonance หรือการกำทอน พอจังหวะตรงกันจะกระตุ้นให้การสั่นได้แรง โดยกรุงเทพฯเป็นลักษณะผสมระหว่างเคสที่ 1 กับเคสที่ 2 คือจะสั่นค่อนข้างคาบยาว (ตึก 20-50 ชั้นขึ้นไป) ไม่ใช่เป็นการสั่นแบบคาบสั้น (ตึกเตี้ย) จากการศึกษาลักษณะของแอ่งดิน ลักษณะของแผ่นดินไหวที่มีอยู่โดยรอบ

ทีมวิจัยมีความเห็นตรงกันว่า กรุงเทพฯมีโอกาสเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในระยะไกล ซึ่งเป็นความเห็นที่เกิดมานานเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว และเราก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเกิดขึ้นในเร็ววัน โดยลักษณะการสั่นมันอาจจะไปเกิดการกำทอนอาคารสูง ทำให้มีการโยกตัวรุนแรง เกิดความเสียหายได้

สถานการณ์ที่ประเมินมี 3 รูปแบบใหญ่ ๆ ที่จะทำให้เกิดปัญหาต่ออาคารสูงได้ คือ

แบบที่ 1 แผ่นดินไหวขนาด 7-7.5 ริกเตอร์ที่ จ.กาญจนบุรี ซึ่งห่างออกไป 200 กิโลเมตร แบบนี้ยังไม่เกิด และคิดว่าเกิดยาก

แบบที่ 2 แผ่นดินไหวขนาด 8 ริกเตอร์ ตามรอยเลื่อนสะกายในประเทศพม่า ซึ่งเพิ่งเกิดเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ความจริงแบบนี้เราก็คิดว่าเกิดยากเหมือนกัน

แบบที่ 3 แผ่นดินไหวขนาด 8.5-9 ริกเตอร์ที่แนวมุดตัวที่อยู่ฝั่งตะวันตกของพม่า และอยู่ในแนวมุดตัวทะเลอันดามัน

ทั้ง 3 รูปแบบเป็นรูปแบบที่โอกาสเกิดค่อนข้างน้อย ในช่วงชีวิตเราโอกาสที่จะเกิดมีสัก 10% หรือน้อยกว่า นั่นคือการที่เราจะไม่เห็น (แผ่นดินไหว) ประมาณ 90% แต่ว่าเราก็กำหนดไว้ว่าเราต้องออกแบบอาคารสูงให้ทนทานแผ่นดินไหวได้ เพราะถึงแม้โอกาสเกิดจะน้อย แต่เราควรต้องออกแบบรองรับไว้เพราะถ้ามันเกิดเหตุการณ์ เราจะได้ปลอดภัย

กฎหมายปี 2550 มาตรฐานสูง

การเตรียมพร้อมรับมือร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง กำหนดการออกแบบและก่อสร้างอาคารทนทานแผ่นดินไหวตั้งแต่ปี 2550 เขียนไว้ชัดเจนว่า 5 จังหวัดในแอ่งดินอ่อนที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวระยะไกล (กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร) ผู้เกี่ยวข้องต้องมีความรับทราบว่ามีเรื่องนี้อยู่

ต่อมา กรมโยธาฯก็ออกมาตรฐานปี 2552 อัพเดตล่าสุดปี 2561 “มาตรการการออกแบบอาคารต้านทานแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว” ช่วยไกด์วิศวกร สถาปนิก ก็คือ เราจะแบ่งกรุงเทพฯ-ปริมณฑลออกเป็น 10 โซน เพราะแอ่งดินอ่อน ลักษณะและคุณสมบัติพื้นที่ต่างกัน จะกำหนดความรุนแรงของความสั่นไหวของอาคารที่เรียกว่า Spectra for Bangkok and Surrounding Provinces เป็นดัชนีชี้วัดผลกระทบที่มีต่ออาคารสูง อาคารทั่ว ๆ ไป แล้วความรุนแรงจะเป็นไปตามคาบการสั่นของอาคาร

เราได้ข้อมูลจากสถานีวัดในกรุงเทพฯ มี 5 สถานี จุดที่ได้ข้อมูล 2 จุดที่สถานีวัดพระจอมเกล้าฯ ธนบุรี มีแผ่นดินไหวทิศทางเหนือ-ใต้ ทิศทางออก-ตก เป็นแนวราบ จากแรงสั่นสะเทือนเราจะรู้ว่าความยาว 2 นาที กับสถานีวัดที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สิ่งแรกที่เราทำ นำสิ่งที่วัดได้นำมาคำนวณผลกระทบแผ่นดินไหว เทียบกับมาตรฐานที่รัฐกำหนดให้วิศวกรอยู่แล้ว

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้แรงถึงขั้น DBE หรือ MCE แต่ว่าความรุนแรงเป็นไปตามค่าความโยกตัวของตัวอาคาร การโยกตัว 2 วินาที อาคาร 20 ชั้น, การโยกตัว 4 วินาที อาคาร 40 ชั้น, เวลา 6 วินาทีสูง 60 ชั้น ในภาพรวมจะมีค่า 1-5 วินาทีสำหรับอาคารสูง ถ้าเวลาเกิน 5 วินาทีเป็นต้นไป จะเป็นอาคารซูเปอร์มอลล์ หรืออาคารสูงเกิน 300 เมตร ซึ่งไทยมีจำนวนน้อย โดยอาคารสูงส่วนใหญ่อยู่ในค่า 1-5 วินาที ก็ยังอยู่ในระดับมาตรฐานที่กำหนดไว้ เพราะฉะนั้น ถ้าออกแบบได้ตามมาตรฐาน ตามหลักวิศวกรรมรองรับแผ่นดินไหว เราไม่ควรจะเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นแบบรุนแรง

ผลการสำรวจของสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทยพบว่า อาคารสูงหลายร้อยหลังที่มีความเสียหาย ส่วนใหญ่เป็นพวกไม่เกี่ยวกับโครงสร้าง เช่น ผนัง ฝ้าเพดาน ลิฟต์ ระบบต่าง ๆ ทำให้อาคารไม่มีประสิทธิภาพใช้งานได้ หรือเสียหายเล็กน้อย แต่ที่เสียหายถึงตัวโครงสร้างมี 10 หลัง และมีอาคารพังทลาย (สตง.) ซึ่งสาเหตุก็ยังสอบสวนกันอยู่ ซึ่งปกติแล้วระดับความรุนแรงไม่ได้เกินระดับมาตรฐาน เพราะฉะนั้น มันก็ไม่ควรจะพังทลาย ถ้าไม่มีสาเหตุพิเศษ

รู้จัก Roof Drift Ratio

ทาง AIT พยายามทำความเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทั้ง ๆ ที่ความรุนแรงยังไม่ถึงระดับขั้นที่กำหนดไว้ในการออกแบบอาคาร มีการคำนวณและนำดัชนีที่ใช้ คือ Roof Drift Ratio ซึ่งเมื่ออาคารโยกตัวไปมา อาคารโยกตัวสูงสุดยอดอาคารมีค่าเท่าไหร่ นำมาหารด้วยความสูงของอาคาร จะเป็นตัวบ่งว่าอาคารเสียหายมากน้อยแค่ไหน ยิ่ง Roof Drift Ratio มีค่ามากก็เสียหายมาก ข้อมูลที่วัดได้จากสถานีวัดใกล้ ๆ อาคาร กทม.2 (ดินแดง) พบว่าค่าไม่ถึง 1%

ขณะที่การโยกตัวของอาคารยังขึ้นกับอีกปัจจัยหนึ่ง นอกจากคาบการสั่นแล้ว ยังขึ้นกับ “อัตราการสลายพลังงานของอาคาร” หรือ Damping Ratio ยกตัวอย่าง อาคารสูงเท่ากัน ขนาดเท่ากัน แต่ว่าอาคารที่มี Damping Ratio ไม่เท่ากัน ตั้งแต่ 1%, 2.5%, 5% พบว่า อาคารที่มีค่า 5% (การโยกตัว) จะหยุดเร็ว อาคารที่มีค่า 2.5% จะหยุดช้ากว่า และอาคารที่มีค่าต่ำสุด หรือ 1% จะใช้เวลานานที่สุดในการสั่น

“แต่เดิมเราเชื่อกันว่าอาคารมีแดมปิ้งเรโช 5% ในมาตรฐานเวอร์ชั่นหลัง (ปี 2561) เราเสนอให้วิศวกรพิจารณาค่าแดมปิ้งเรโชที่ 2.5% เพราะในสากลโลกในหลายประเทศเขาก็คิดกันว่าแดมปิ้งในอาคารสูงน่าจะน้อยกว่าอาคารปกติ แต่จากครั้งนี้ (28 มีนาคม) ที่เกิดขึ้น เรามีข้อมูลเพิ่มเติมว่าจากการไปวัดดู เราคิดว่าค่าแดมปิ้งของอาคารน่าจะลงมาอยู่ที่ 1%”

ผลเสียหายที่เกิดกับอาคารจากเหตุแผ่นดินไหว จะเห็นว่ามันขึ้นกับตัวแปรว่าอาคารมีอัตราการสลายพลังงานเยอะหรือน้อย แผ่นดินไหวสั่นแรง หรือสั่นเบา แต่ในช่วงสั่นแรงที่สุดคืออาคารที่โยกใกล้ ๆ 3 วินาทีต่อรอบ เช่น อาคารโรงพยาบาลราชวิถีสูง 25 ชั้น อาคาร สตง.ที่มีความเสียหายที่เชียร์วอลล์ สูง 40 ชั้น ก็อยู่ในช่วง 3 วินาทีต่อรอบเช่นเดียวกัน ฉะนั้นอาจจะบอกได้ว่า การเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการทดสอบครั้งใหญ่ของอาคารสูง และอาคารส่วนใหญ่ก็สอบผ่าน อาคารเกือบทั้งหมดสอบผ่าน มีอาคารสอบตกอยู่หลังเดียว มีอาคารที่สอบใกล้ ๆ ตกก็มีจำนวนหนึ่ง แต่ไม่เป็นสาระ

ไฮไลต์ “เชียร์วอลล์ต้องเหนียว”

คำถามต่อมาคือ เหตุการณ์แผ่นดินไหวจะเกิดได้บ่อยขนาดไหน ครั้งนี้เกิดที่รอยเลื่อนสะกายมีความยาวมาก แต่เกิดเฉพาะบางส่วนของรอยเลื่อน พลิกดูประวัติรอยเลื่อนสะกายเวลาเกิดแผ่นดินไหวจะเกิดไถลตามแนวรอยเลื่อนสะกาย แต่ว่าจะไถลเฉพาะบางส่วน ไม่ได้เกิดตลอดทั้งแนว โดยตำแหน่งเกิดแผ่นดินไหวรอบนี้ สถิติครั้งสุดท้ายที่เคยเกิดตำแหน่งนี้เกิดในสมัยรัชกาลที่ 3 ปี ค.ศ. 1839, ตำแหน่งมัณฑะเลย์ ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1912 หรือร้อยกว่าปีมาแล้ว, มองอีกฝั่งเมืองพะโค ครั้งสุดท้ายที่ไถลตัวเมื่อปี 1930 หรือ 95 ปีมาแล้ว เพราะมันไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นง่าย ๆ เลย

“เราคิดว่าโดยเฉลี่ยอาจจะเกิดช่วงเวลาเนย์ปิดอว์ 200 ปี อีกนาน แต่เท่าที่ผมศึกษาแผ่นดินไหวมา มันก็เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ ดูได้คร่าว ๆ เราบอกได้ว่าโอกาสที่จะเกิดแบบนี้น่าจะยาก ผมคิดว่าทุก ๆ 3-5 ปี เราอาจจะเจออาคารโยกตัวสักครั้งหนึ่ง แต่จะไม่รุนแรงเหมือนเหตุการณ์เมื่อ 28 มีนาคม หรือโอกาสที่จะเกิดเหมือน 28 มีนาคม อีกสักครั้งหนึ่งคงจะน้อย และเผลอ ๆ เราอาจจะไม่เจอมันอีกแล้ว โอกาสที่เจอก็คง 10% โอกาสไม่เจอ 90%”

แต่ว่าถ้าเราจะเผื่อ ทำให้มั่นใจว่าอาคารปลอดภัย ทำยังไง คำตอบคือทำตามมาตรฐานอาคารต้านแผ่นดินไหวปี 2550 แต่จุดที่อยากให้เน้นก็คือตัวเชียร์วอลล์ เพราะระบบของเราตัวที่รับแรงแผ่นดินไหวจริง ๆ คือตัวเชียร์วอลล์

“ผมไฮไลต์ไว้คำเดียว ต้องทำให้เชียร์วอลล์เหนียว เรื่องนี้กำหนดไว้เป็นมาตรฐานอยู่ แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ เราอาจเน้นย้ำประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเชียร์วอลล์ทำจากคอนกรีตเสริมเหล็ก คอนกรีตเป็นวัสดุเปราะ แต่เหล็กเสริมที่อยู่ข้างในทำให้เชียร์วอลล์เหนียวได้ เราต้องจัดเรียงเหล็กเสริมในลักษณะพิเศษ จนกระทั่งทำให้เชียร์วอลล์สามารถโยกได้ โดยที่ไม่พังแบบเปราะ”

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่