UHG เชื่อมั่นศักยภาพเที่ยวไทย ลงทุนเพิ่มอีก 3 โปรเจ็กต์มูลค่ากว่าพันล้าน

กลุ่มโรงแรม UHG ชี้เชื่อมั่นศักยภาพท่องเที่ยวไทย เผยครึ่งปีแรกทุกสาขาตัวเลขดีกว่าปี’67 มีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 80-90% เดินหน้าลงทุนเพิ่มอีกกว่า 1,000 ล้านบาท ผุด 3 โปรเจ็กต์ใหญ่ “ลาดพร้าว-พญาไท-เอกมัย” รวม 800 ห้องพัก คาดเปิดให้บริการได้ปลายปี’69 เผยโฟกัสเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ชี้มีฐานลูกค้าหลากหลาย พร้อมรุกปรับกลยุทธ์การตลาด-ต้นทุนรอบทิศดันเรตราคาห้องพัก

นายวุฒิพล ถาวรธวัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เออร์เบิน ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป จำกัด (Urban Hospitality Group) หรือ UHG ผู้ลงทุนและบริหารโรงแรมภายใต้แบรนด์ เดอะ ควอเตอร์ (The Quarter) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า บริษัทยังเชื่อมั่นในศักยภาพของภาคการท่องเที่ยวของไทย โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่มีนักท่องเที่ยวหลากหลายสัญชาติ (Mix Market) เดินทางเข้ามาเยือนในจำนวนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งตลาดนักเดินทางระยะใกล้และตลาดนักเดินทางระยะไกล

มีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 80-90%

โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา พบว่าทุกโรงแรมในเครือมีตัวเลขรายได้ดี เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 3-4% และมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (Occupancy Rate) โดยรวมอยู่ที่ประมาณ 80-90%

ขณะที่โรงแรมใหม่ที่เพิ่งเปิดให้บริการก็ได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาด อาทิ เดอะ ควอเตอร์ สะพานควาย (ถนนประดิพัทธ์ 15) ขนาด 200 ห้อง คอนเซ็ปต์โมเดิร์น Art Deco เปิดให้บริการเมื่อเดือนเมษายน 2568 พบว่าตัวเลขดีเกินคาด เช่นเดียวกับโรงแรมเดอะ ควอเตอร์ รามคำแหง ขนาด 338 ห้อง สไตล์ Modern Nordic ที่เปิดให้บริการเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2568 ก็ได้รับการตอบรับดีเกินเป้าหมาย

นอกจากนี้ในส่วนของพื้นที่อาคารสำนักงานก็ยังได้รับการตอบรับที่ดี ไม่ว่าจะเป็นสาขาอ่อนนุช อารีย์ รัชโยธิน รามคำแหง ฯลฯ เนื่องจากปัจจุบันกรุงเทพฯ มีรถไฟฟ้าหลากหลายสี ทำให้การเดินทางทางสะดวก บริษัทหลายแห่งย้ายสำนักงานไปอยูในพื้นที่ไกลขึ้นเพื่อลดต้นทุนการบริหาร ส่วนพื้นที่ค้าปลีก (Retail) ยังคงได้รับการสนับสนุนจากพาร์ตเนอร์รายเดิม ๆ ที่ไปด้วยกันในทุกสาขา

มีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 80-90%, ลงทุน 3 โครงการกว่า 1 พัน ล., ชี้ กทม.ฐานลูกค้าหลากหลาย, มุ่งปรับกลยุทธ์-บริหารต้นทุน

UHG

ลงทุน 3 โครงการกว่า 1 พัน ล.

นายวุฒิพลกล่าวด้วยว่า จากทิศทางที่ยังดีต่อเนื่องนี้ ทำให้บริษัทยังคงเดินหน้าโฟกัสการลงทุนในพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นหลักอีก 3 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.ลงทุนเพิ่มในโครงการโรงแรมเดอะ ควอเตอร์ ลาดพร้าว มูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท เพิ่มห้องพักอีก 200 ห้อง เนื่องจากผู้เช่ารายใหญ่ (Depa Thailand) ย้ายออก พร้อมรีโนเวตพื้นที่ล็อบบี้ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นครอบคลุม 2 อาคาร ซึ่งจะทำให้โรงแรมแห่งนี้มีห้องพักทั้งหมดรวม 400 ห้อง ใหญ่ที่สุดของกลุ่ม UHG ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง

“โซนลาดพร้าวเป็นทำเลที่มีศักยภาพและมีดีมานด์สูง เนื่องจากอยู่ใกล้กับสวนจตุจักร สวนรถไฟ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างยูเนี่ยนมอลล์ สนามบินดอนเมือง และอาคารสำนักงานจำนวนมาก ขณะที่โรงแรมยังมีแค่เซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัล ลาดพร้าว”

2.โครงการเดอะ ควอเตอร์ เอกมัย (สุขุมวิท 63) มูลค่า 600 ล้านบาท จำนวน 200 ห้องปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปี 2569 และ 3.โครงการเดอะ ควอเตอร์ พญาไท (ติดกับแอร์พอร์ตลิงก์) มูลค่า 400 ล้านบาท จำนวน 200 ห้อง คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ปลายปี 2569 เช่นกัน

นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาหาพันธมิตรเข้ามาลงทุนในพื้นที่ของโครงการเดอะ ควอเตอร์ รามคำแหง ที่ยังมีที่ดินว่างเหลืออีก 1 แปลง ประมาณ 3 ไร่ครึ่ง เพื่อให้เข้ามาลงทุนในธุรกิจเวลเนส หรือโรงพยาบาลเฉพาะทาง โดยคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปเร็ว ๆ นี้

มีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 80-90%, ลงทุน 3 โครงการกว่า 1 พัน ล., ชี้ กทม.ฐานลูกค้าหลากหลาย, มุ่งปรับกลยุทธ์-บริหารต้นทุน

UHG

ชี้ กทม.ฐานลูกค้าหลากหลาย

นายวุฒิพลกล่าวว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ที่นักท่องเที่ยวหลากหลาย ไม่ได้พึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง และด้วยสาขาโรงแรมของกลุ่ม UHG อยู่ในกรุงเทพฯ ทั้งหมด ทำให้มีฐานลูกค้ามีหลากหลายเช่นกัน เป็นกลุ่มลูกค้าจีนแค่ประมาณ 30% ซึ่งลูกค้าจีนส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (FIT) ซึ่งส่วนใหญ่ยังเดินทางอยู่ ขณะที่กลุ่มอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น ยุโรป ฯลฯ มีจำนวนเพิ่มขึ้น ทำให้โรงแรมทุกแห่งของบริษัทยังมีผลประกอบการอยู่ในระดับที่ดี

“ตอนนี้ลูกค้าตลาดระยะไกล เรามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และใกล้เคียงกับตลาดจีนแล้ว ทั้งอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา สวีเดน เบลเยียม อิสราเอล รวมถึงคาซัคสถาน ปากีสถาน บังกลาเทศ” นายวุฒิพลกล่าว

มีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 80-90%, ลงทุน 3 โครงการกว่า 1 พัน ล., ชี้ กทม.ฐานลูกค้าหลากหลาย, มุ่งปรับกลยุทธ์-บริหารต้นทุน

UHG

มุ่งปรับกลยุทธ์-บริหารต้นทุน

นายวุฒิพลกล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทให้ความสำคัญกับการปรับรูปแบบการให้บริการ กลยุทธ์การตลาด และการบริหารจัดการต้นทุนที่เข้มข้นขึ้น กล่าวคือ นักท่องเที่ยวยุโรปส่วนใหญ่มีพฤติกรรมชื่นชอบใช้เวลาอยู่ในโรงแรมมากกว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวจีน ทีมบริหารจึงปรับเมนูอาหารให้เป็นสไตล์ยุโรปเพิ่มขึ้น เช่น เปลี่ยนไซซ์ครัวซองต์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพิ่มอาหารประเภทชีส โยเกิร์ต ผลไม้ ฯลฯ และลดอาหารร้อน ตัดอาหารประเภทขนมจีบ ซาลาเปา รวมถึงขยายเวลาอาหารเช้าไปถึง 11.30 น. เป็นต้น

“เช่นเดียวกับการบริหารจัดการต้นทุน การบริหารอัตราการเข้าพักและการกำหนดราคาขายให้สอดรับกับดีมานด์-ซัพพลาย เพื่อไม่มีห้องพักเหลือขายในแต่ละวัน ทุกรายละเอียดผู้บริหารหรือจีเอ็มแต่ละสาขาต้องจัดการให้ดี” นายวุฒิพลกล่าว และว่า

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าทุกโรงแรมต้องทำการตลาดหนักขึ้น เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ระดับราคาขายเฉลี่ยของกลุ่ม UHG ทำได้ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 6-7% ซึ่งเป็นการลดราคาเพื่อเพิ่ม Occupancy Rate ในทุกวันและวันละหลาย ๆ รอบ เพื่อให้ได้ทั้งอัตราการเข้าพักและราคาที่ดี

นอกจากนี้ ยังพัฒนาและปรับห้องพัก (ห้องมุม+ห้องข้าง ๆ) ในบางสาขาให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มครอบครัวที่ต้องการเข้าพักรวมกัน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราการใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะตลาดจีน อาหรับ และยุโรป โดยทำห้อง 2 ห้องนอน (2 Bedroom Family Sweet) มีอ่างอาบน้ำ มีห้องรับแขกที่สามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้ แต่แยกกันนอน เป็นต้น

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่