จับตา 7 โรคที่ต้องระวังในหน้าร้อนพร้อมวิธีป้องกัน

เมื่อเข้าสู่หน้าร้อน นอกจากประเพณีสงกรานต์และวันหยุดยาวที่เรารอคอยแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือโรคภัยต่างๆ ในหน้าร้อนที่มาตามฤดูกาล มีโรคอะไรบ้างที่เราต้องระวังเป็นพิเศษ และมีวิธีป้องกันอย่างไรบ้าง

โรคที่ต้องระวังในหน้าร้อน

1. โรคฮีทสโตรก (Heat stroke) หรือโรคลมแดด

เป็นโรคที่ควรระวังเป็นอย่างยิ่งในหน้าร้อนเพราะมีอันตรายถึงชีวิต เนื่องจากร่างกายเกิดความร้อนสะสม โดยมีอุณหภูมิสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส อาการที่สังเกตได้ คือ

  • รู้สึกเมื่อย ล้า อ่อนเพลีย
  • ตัวร้อนมาก
  • ปวดศีรษะ
  • หน้ามืด
  • อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น
  • เหงื่อไม่ออก
  • ชีพจรเต้นเร็ว ใจสั่น
  • ชักกระตุก เกร็ง
  • หมดสติ

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นและถึงแก่ชีวิตได้ โดยความรุนแรงของโรคลมแดด (Heat Stroke) จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น โรคประจำตัวอย่างเบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิตสูง หรือมีภาวะขาดน้ำ โดยในกลุ่มที่ติดสุราเรื้อรังโรคก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

ภาพจาก iStock

เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคลมแดด ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ผ้าโปร่ง ระบายอากาศได้ดี หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดหรือออกกำลังกายในสภาพอากาศที่ร้อนจัด และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

2. โรคพิษสุนัขบ้า หรือโรคกลัวน้ำ

เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีอยู่ในน้ำลายสัตว์ ผ่านการกัด ข่วน หรือถูกเลียบริเวณแผล หรือแม้แต่น้ำลายนั้นเข้าตา ปาก จมูก หลังการติดเชื้อผู้ป่วยจะมีอาการทางระบบประสาท เช่น

  • ชัก
  • ประสาทหลอน
  • อัมพาต

ภาพจาก iStock

ที่สำคัญคือเมื่อมีอาการแล้วจะเสียชีวิตทุกราย ดังนั้นหากถูกสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกัด หรือเป็นผู้สุ่มเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อ ให้รีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง แล้วรีบไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และควรนำสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนทุกปี เพื่อความปลอดภัยสำหรับคนในบ้านและสัตว์เลี้ยง

3. อาหารเป็นพิษ

เป็นโรคที่พบบ่อยในช่วงหน้าร้อน ซึ่งเกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย ส่วนใหญ่จะมีอาการหลังจากรับประทานอาหารที่มีรสจัด หรืออาหารที่ปรุงไม่สุกพอ เช่น อาหารค้างคืน เนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก หรือทานดิบๆ เมื่อรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไปแล้ว อาจทำให้เกิดอาการต่างๆ ตามมา เช่น

  • มีไข้
  • อาเจียนติดต่อกันไม่หยุดหรือมีเลือดปน
  • ปวดท้องในลักษณะปวดบิดเป็นพักๆ
  • ท้องเสีย
  • หากมีอาการขาดน้ำอาจทำให้หมดสติ
  • ผู้ที่มีอาการรุนแรงมากๆ หากรักษาไม่ทันอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

4. โรคท้องร่วงเฉียบพลัน

เกิดจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคต่างๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว พยาธิ หรือในบางรายอาจได้รับเชื้อโรคจากการใช้มือหยิบจับสิ่งของที่ปนเปื้อนแล้วนำเข้าปาก โดยอาการของโรคอุจจาระร่วงคือ

  • ถ่ายเหลวอย่างน้อย 3 ครั้งขึ้นไปต่อวัน
  • บางรายถ่ายเป็นมูกปนเลือด 1 ครั้งขึ้นไปต่อวัน
  • หากปล่อยไว้ร่างกายจะสูญเสียน้ำและเกลือแร่ ทำให้อ่อนเพลีย
  • อวัยวะต่างๆ เสียสมดุลการทำงาน และเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
  • เกิดภาวะช็อก หมดสติ และเสียชีวิต

ภาพจาก iStock

5. โรคบิด

โรคบิดจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ก็คือ มีตัวก่อบิด และไม่มีตัวก่อบิด ซึ่งโรคบิดที่มีตัวก่อบิดจะเกิดจากเชื้ออะมีบา และเมื่อเชื้ออะมีบาเข้าไปสู่กระแสเลือด หรือแพร่ไปยังอวัยวะภายในต่างๆ ก็อาจทำให้เนื้อเยื่อในอวัยวะต่างๆ ถูกทำลาย หรือก่อให้เกิดฝีที่อวัยวะต่างๆ และอาจเกิดอาการติดเชื้อ หรืออาการอื่นๆ ที่รุนแรงขึ้น ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงทีก็อาจทำให้อันตรายถึงชีวิตได้

อาการที่มีตัวก่อบิด

  • ปวดท้องเวลาถ่าย
  • ถ่ายปนมูกปนเลือด
  • อาจมีฝีในตับ
  • ถ่ายอุจจาระบ่อยครั้ง

อาการที่ไม่มีตัวก่อบิด

  • ไข้สูง
  • ถ่ายเป็นมูกปนเลือด
  • ปวดท้อง
  • อาเจียน
  • เบื่ออาหาร

6. อหิวาตกโรค

เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Vibrio Cholerae ที่ลำไส้เล็ก ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ติดต่อจากอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ ซึ่งหากติดเชื้อโรคนี้จะทำให้เราถ่ายอุจจาระเป็นน้ำคราวละมากๆ โดยอาจไม่มีอาการปวดท้อง สามารถก่อให้เกิดอาการขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรวดเร็ว เช่น

ภาพจาก iStock

  • กระหายน้ำ
  • อ่อนเพลีย
  • ปัสสาวะออกน้อย
  • ชีพจรเต้นเร็ว
  • อาจทำให้เกิดภาวะช็อก หมดสติจากการเสียน้ำ
  • บางรายที่มีอาการรุนแรงมากๆ อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

การดูแลเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วยถ่ายเหลวเฉียบพลัน ควรชงผงน้ำตาลเกลือแร่ดื่มชดเชยให้ทันกับสารน้ำที่สูญเสียไป หากอาการไม่ดีขึ้น หรือผู้ป่วยไม่สามารถดื่มสารน้ำชดเชยได้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินแนวทางการรักษาต่อไป

7. โรคไข้ไทฟอยด์ หรือ ไข้รากสาดน้อย

เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi โดยเชื้อชนิดนี้สามารถแพร่กระจายไปยังทุกส่วนของร่างกายได้ ซึ่งติดต่อได้จากการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน และเมื่อเราสัมผัสกับเชื้อชนิดนี้แล้ว อาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้ หากรักษาช้าอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ อาการที่พบได้แก่

  • มีไข้สูง
  • เบื่ออาหาร
  • แน่นท้อง
  • ท้องผูก

จะเห็นได้ว่านอกจากโรคฮีทสโตรกและโรคพิษสุนัขบ้าแล้ว โรคที่พบบ่อยในหน้าร้อนส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหาร ซึ่งมีลักษณะอาการที่คล้ายกัน ต่างกันที่ประเภทของเชื้อโรคที่ได้สัมผัส การป้องกันตัวเองเบื้องต้นจากโรคดังกล่าวสามารถทำได้ด้วยวิธีเหล่านี้

  • หากทำอาหารเองควรล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ก่อนและหลังเตรียมอาหารดิบทุกชนิด
  • ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ทุกชนิดที่ใช้ในการเตรียมอาหารดิบ ไม่ใช้ปะปนกัน เช่น ไม่ใช้เขียงหั่นเนื้อสัตว์สดร่วมกับอาหารอื่น
  • ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร
  • เลือกรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะและดื่มน้ำที่สะอาดผลิตได้มาตรฐาน
  • รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่และสะอาด
  • เลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยกะทิ โดยเฉพาะอาหารที่ปรุงค้างไว้ในอุณหภูมิห้องอย่างน้อย 3 ชั่วโมง และอาหารที่ทิ้งไว้ค้างคืน
  • เลี่ยงผักหรือผลไม้สดที่ล้างไม่สะอาด
  • เลี่ยงอาหารกระป๋องที่มีลักษณะผิดปกติ เช่น มีรอยรั่ว แตก บุบ บวม หรือขึ้นสนิม
  • อาหารกระป๋องเมื่อเปิดแล้วควรรับประทานให้หมดในครั้งเดียว หรือเทใส่ภาชนะอื่นที่สะอาดแล้วปิดฝาให้แน่นก่อนเก็บไว้รับประทานมื้อถัดไป

เพื่อให้เราใช้ชีวิตในหน้าร้อนได้อย่างปลอดภัย ปลอดโรค และมีสุขภาพแข็งแรงอย่างมีความสุข

ข้อมูลอ้างอิง : โรงพยาบาลเปาโล, โรงพยาบาลวิมุต