เชิงช่างแม่พิมพ์พระสมเด็จฯ เอกลักษณ์แห่งพระแท้

การแกะแม่พิมพ์พระนั้น เป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการสร้างพระสมเด็จฯ เป็นการถ่ายทอดแบบร่างพุทธศิลป์พิมพ์ทรงที่ได้มีการออกแบบไว้แล้ว ไปสู่แม่พิมพ์พระโดยมีช่างแกะเป็นผู้รับผิดชอบหลัก

“ช่างแกะ” คือช่างหมู่หนึ่งในช่างสิบหมู่ที่เป็นงานประณีตศิลป์ของไทยมีมาแต่โบราณกาล ต้องใช้ความชำนาญเฉพาะตัวในการออกแบบสร้างสรรค์รูปลักษณ์ประเภทลวดลาย หรือรูปภาพ ให้เป็นผลงานศิลปะด้วยวิธีการแกะ มักจะเป็นงานขนาดเล็กที่ต้องใช้ฝีมือและความละเอียดประณีตมาก โดยอาจแกะลงบนถาวรวัตถุ หรือวัตถุประเภทอื่นๆ

ช่างแกะแม่พิมพ์ที่มีความชำนาญมักจะมีการแสดงออกถึงเชิงช่าง หรือ อัตลักษณ์เชิงช่าง ไว้ในงานศิลปกรรมของตนหรือบางครั้งอาจจะซ่อนเอาไว้ไม่ให้สังเกตได้โดยง่าย ต้องศึกษาพิจารณาจากผลงานหลายๆ ชิ้นที่สร้างโดยช่างคนเดียวกัน จึงจะพอสังเกตออกได้ ช่างที่สามารถสร้างอัตลักษณ์เชิงช่างของตัวเองได้จะต้องเป็นช่างที่มีทักษะความชำนาญในงานศิลปกรรมในระดับสูง ซึ่งเป็นลักษณะของช่างสิบหมู่หรือช่างหลวงในราชสำนัก

เราสามารถพบเห็นถึงอัตลักษณ์เชิงช่างของช่างหลวงได้ทั่วไปในงานพุทธศิลปกรรมที่สร้างขึ้นช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 ถึง รัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับช่วงที่มีการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ เช่นกัน กล่าวคือเมื่อได้เห็นผลงานแล้วจะบอกได้ทันทีว่าใครคือศิลปินผู้สร้างสรรค์งานศิลปกรรมชิ้นนั้นๆ

ด้วยเหตุนี้ การทำความเข้าใจว่าใครเป็นผู้แกะแม่พิมพ์พระ รวมถึงการศึกษาถึงอัตลักษณ์เชิงช่างของผู้แกะแม่พิมพ์พระสมเด็จฯ จึงน่าจะมีส่วนช่วยให้เข้าใจถึงรูปแบบลักษณะของพระสมเด็จฯ ที่สร้างโดยท่านเจ้าประคุณฯ ได้เช่นกัน

หนังสือปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่องฯ เล่มที่ 1 ของ ตรียัมปวาย ได้สรุปความในเรื่อง ผู้แกะแม่พิมพ์พระ จากบุคคลต่างๆ ที่ได้สัมภาษณ์พระธรรมถาวร ศิษย์ใกล้ชิดสมเด็จโต เช่น พระอาจารย์ขวัญ “วิสิฏโฏ” พระอาทรพัฒรพิสิฐ และนายกนก สัชชุกร ไว้ว่า “แต่เดิมนั้นชาวบ้านต่างพากันแกะแม่พิมพ์ของตนมาเอง และมาช่วยกันพิมพ์พระ ต่อมาเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ให้นายเทด (หลานชายเจ้าพระคุณสมเด็จฯ บ้านอยู่ถนนดินสอ) แกะแม่พิมพ์แบบสี่เหลี่ยมขึ้นก่อน และชาวบ้านก็แกะเป็นพิมพ์สี่เหลี่ยมขึ้นบ้าง (รวมถึงชาวบ้านช่างหล่อ ที่มาช่วยแกะแม่พิมพ์ถวาย เพราะเป็นพวกที่มีฝีมือในการหล่อพระพุทธรูป) ตอนนี้เข้าใจว่าท่านเจ้าประคุณฯ คงจะได้แกะแม่พิมพ์แบบสี่เหลี่ยมเป็นตัวอย่างขึ้นมาก่อน คือได้แก่พิมพ์ทรงเศียรบาตรอกครุฑ นอกจากนั้นก็คือ สมเด็จฯ กรมพระบำราบปรปักษ์ อีกทั้งเจ้าวังหลังพระองค์หนึ่ง รับราชการในกรมช่างสิบหมู่ ก็ได้ทรงช่วยแบบพิมพ์สี่เหลี่ยมด้วย และในที่สุด หลวงวิจารณ์เจียรนัย ช่างทองหลวง ได้ดัดแปลงแก้ไขโดยออกแบบแม่พิมพ์ที่ทันสมัยขึ้น ถวายเจ้าพระคุณสมเด็จฯ และเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็ได้ใช้สร้างพระสมเด็จฯ ตลอดมาและเลิกสร้างจากแม่พิมพ์เก่านั้นเสีย...”

จากข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้ “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตนำเสนอ โดยแบ่งกลุ่มช่างแกะแม่พิมพ์พระสมเด็จฯ แบบสี่เหลี่ยม ออกเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มช่างฝีมือชาวบ้าน กลุ่มช่างสิบหมู่ และกลุ่มช่างทองหลวง

ช่างฝีมือชาวบ้าน

ช่างที่เข้ามาช่วยท่านเจ้าประคุณฯ สร้างพระสมเด็จฯ แบบสี่เหลี่ยม ในช่วงแรกๆ นั้นตามตำราตรียัมปวายบอกว่าคือ นายเทด หลานของท่านเจ้าประคุณฯ เอง และท่านเจ้าประคุณฯ ยังต้องการให้ชาวบ้านช่างหล่อ ที่มีความชำนาญในการหล่อพระพุทธรูปเข้ามาช่วยแกะแม่พิมพ์ด้วย (ช่างหล่อโดยทั่วไปมักจะมีทักษะในการแกะแม่พิมพ์ด้วย คือเป็นทั้งช่างหล่อและช่างแกะในคนๆ เดียวกัน)

ช่างฝีมือชาวบ้าน, กลุ่มช่างสิบหมู่, กลุ่มช่างทองหลวง, อ่านคอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ เพิ่มเติม

นายเทด นั้นไม่ปรากฏว่ามีทักษะความรู้ทางช่างในระดับใด ร่ำเรียนมาจากสำนักไหน แต่ในฐานะที่เป็นหลานของท่านเจ้าประคุณ รวมถึงยังถูกพูดถึงในหลายโอกาส ... เช่นในหนังสือของตรียัมปวาย ที่กล่าวถึงเมื่อคราวที่ท่านเจ้าประคุณฯ ปรารภกับนายเทดว่า ต้องการให้ “รวบรวมพระสมเด็จฯ รุ่นแรกๆ ที่ได้สร้างไว้เป็นพิมพ์แบบสี่เหลี่ยม ที่มีฐาน 5 ชั้น 6 ชั้น และ 7 ชั้น สมทบเข้ากับ รุ่นที่สร้างขึ้นใหม่ จนครบ 84,000 องค์ แล้วท่านก็นำไปบรรจุที่วัดไชโย เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้โยมมารดา” จะเห็นได้ว่านอกจากนายเทดจะเป็นผู้แกะแม่พิมพ์พระสมเด็จฯ แบบสี่เหลี่ยมด้วยคนหนึ่งแล้ว นายเทด ยังเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของท่านเจ้าประคุณฯ ในการสร้างพระสมเด็จฯ แบบสี่เหลี่ยม ตั้งแต่ยุคแรกๆ จนถึงยุคท้ายๆ ที่ได้ช่างทองหลวงเข้ามาช่วยทำด้วย

นายกนก สัชชุกร บันทึกความที่ได้จากการสัมภาษณ์พระธรรมถาวรไว้ว่า “ครั้งแรกใครจะเป็นผู้แกะพิมพ์ถวายเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ไม่ทราบแน่ แต่เป็นแม่พิมพ์ที่ไม่สู้งดงามนัก และในระหว่างที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ หมกมุ่นในการแก้ปัญหาเรื่องความร้าวหักของพระเมื่อตากแห้งแล้วนี้เอง หลวงวิจารณ์เจียรนัย ช่างทองหลวงในราชสำนักรัชกาลที่ 4 ได้มาเยี่ยมเจ้าพระคุณสมเด็จฯ และได้ขอพิจารณาแม่พิมพ์ที่ใช้สร้างพระสมเด็จฯ มาแต่เดิม ... ว่า แม่พิมพ์เหล่านี้ยังไม่งดงามสำหรับการที่จะใช้สร้างพระเครื่องฯ สำคัญเช่นนี้ เพราะขาดคุณค่าทางศิลปะเป็นอันมาก แล้วจึงได้แกะพิมพ์ขึ้นใหม่ถวายเจ้าพระคุณสมเด็จฯ 2-3 แบบ ซึ่งงดงามกว่าเก่ามาก และเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ใช้แม่พิมพ์ใหม่ๆ นี้ พิมพ์พระสมเด็จฯ ตลอดมา”

“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตตั้งข้อสังเกตว่า การที่ช่างฝีมือชาวบ้านประสบปัญหาในเรื่องของการแตกร้าวของพระเมื่อตากแห้งในช่วงแรกนั้น ก็เนื่องมาจากพื้นฐานความรู้ของช่างกลุ่มนี้ที่ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากชาวบ้านช่างหล่อนั้น มีความชำนาญในเรื่องช่างหล่อและช่างแกะเป็นหลัก แต่องค์ความรู้ที่สำคัญเกี่ยวกับเนื้อหามวลสารนั้นล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ “ช่างปูน” และ “ช่างปั้น” ที่เป็นช่างสิบหมู่เช่นกัน ส่วนในด้านพิมพ์ทรงนั้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือการที่ ตรียัมปวาย ได้กล่าวว่า ท่านเจ้าประคุณฯ คงจะได้แกะแม่พิมพ์แบบสี่เหลี่ยม เป็นตัวอย่างขึ้นมาก่อน ได้แก่พิมพ์ทรงเศียรบาตรอกครุฑ ที่เป็นลักษณะแบบ พุทธศิลป์พื้นเมือง เป็นแบบโบราณ คร่ำๆ เก่าๆ แบบพื้นบ้าน ไม่ได้พัฒนาถึงขั้นสูงสุด ซึ่งสามารถจัดอยู่ในกลุ่มของช่างฝีมือชาวบ้านได้เช่นเดียวกัน อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือ พลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เรียกงานศิลปกรรมแบบนี้ว่า แบบ พริมิทิฟ หรือแบบปฐมภูมิ เป็นขั้นต้นสุดของวิวัฒนาการทางศิลปะ

ช่างฝีมือชาวบ้าน, กลุ่มช่างสิบหมู่, กลุ่มช่างทองหลวง, อ่านคอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ เพิ่มเติม

พระสมเด็จฯ แบบสี่เหลี่ยมที่สร้างโดยกลุ่มช่างฝีมือชาวบ้านนี้นั้น ในด้านพิมพ์ทรงและเนื้อหานั้นน่าจะยังไม่ได้มีการพัฒนามากนัก อัตลักษณ์เชิงช่างก็ย่อมจะไม่เด่นชัดเช่นกัน

กลุ่มช่างสิบหมู่

หนังสือของตรียัมปวาย ยังได้บันทึกว่า “...สมเด็จฯ กรมพระบำราบปรปักษ์ อีกทั้งเจ้าวังหลังพระองค์หนึ่ง รับราชการในกรมช่างสิบหมู่ ก็ได้ทรงช่วยแบบพิมพ์สี่เหลี่ยมด้วย...” สมเด็จฯ กรมพระบำราบปรปักษ์นั้น ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงรับราชการในกรมวัง ดูแลภายในพระบรมมหาราชวัง และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ยังทรงดำรงตำแหน่งสำคัญอีกหลายตำแหน่ง ทรงเป็นประธานของพระบรมวงศานุวงศ์ จากข้อมูลดังกล่าวเป็นที่ชัดเจนว่า ท่านเจ้าประคุณฯ ได้รับความช่วยเหลือในการสร้างแม่พิมพ์พระสมเด็จฯ จากพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงในขณะนั้น รวมถึงได้รับการสนับสนุนจากกรมช่างสิบหมู่อย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าต้องการการสนับสนุนสรรพกำลังเพื่อทำงานใหญ่จึงไม่น่าเป็นเรื่องยาก

“ช่างสิบหมู่” เป็นชื่อเรียกช่างหลวงกรมหนึ่ง มีหน้าที่ทำงานการก่อสร้าง ตกแต่งมหาปราสาทราชมณเฑียร ตำหนัก เรือนหลวง วัดวาอาราม เพื่อให้บ้านเมืองรุ่งเรือง งดงามด้วยศิลปกรรม โดยประสานงานกับช่างมหาดเล็ก และช่างทหารในมาแต่สมัยโบราณ ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น ช่างสิบหมู่ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เช่น หลวงวิจิตรนฤมล เจ้ากรมช่างแกะ ถือศักดินา 400 เป็นต้น

องค์ความรู้ที่ใช้ในการสร้างพระสมเด็จฯ นั้น เป็นลักษณะขององค์ความรู้แบบองค์รวม เช่น ต้องใช้องค์ความรู้ของช่างแกะ ช่างหล่อ ช่างเขียน เพื่อแกะแม่พิมพ์ ในขณะเดียวกัน ต้องใช้องค์ความรู้ของช่างปูน ช่างปั้น ช่างรัก ในการทำเนื้อหามวลสาร ให้มีความสวยงามคงทนไม่แตกร้าว ด้วยเหตุผลนี้ในการพัฒนาแม่พิมพ์พระสมเด็จฯ จึงควรจะต้องมีช่างสิบหมู่มาทำงานควบคู่ไปกับช่างฝีมือชาวบ้าน (ในช่วงหลัง) และช่างทองหลวงด้วยเช่นกัน และน่าจะมีพระสมเด็จฯ ที่แกะแม่พิมพ์โดยช่างสิบหมู่อยู่ด้วยจำนวนหนึ่งอีกเช่นกัน ที่ฝีมือการแกะไม่ได้แตกต่างจากช่างทองหลวงมากนัก พระสมเด็จฯ กลุ่มนี้จึงมีอัตลักษณ์เชิงช่างที่เด่นชัดเช่นกัน

ช่างฝีมือชาวบ้าน, กลุ่มช่างสิบหมู่, กลุ่มช่างทองหลวง, อ่านคอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ เพิ่มเติม

รศ.นพ.ถนอม บรรณประเสริฐ นำเสนองานวิจัยเมื่อปี พ.ศ. 2561 พบว่าแม่พิมพ์ที่สร้างจากหินสบู่เป็นแม่พิมพ์ที่นิยมใช้ในการสร้างงานศิลปกรรมของช่างหลวงในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้นจนถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 5 จากการพบหลักฐานแม่พิมพ์หินสบู่จำนวนมากที่อยู่ในการครอบครองของทายาทช่างหลวงบางท่านในกรมช่างสิบหมู่ ซึ่งมีการแกะสลักเป็นลวดลายที่มีความวิจิตรงดงามมีความละเอียดประณีตสูงยากที่จะหาช่างในยุคปัจจุบันทำได้เทียบเท่า แม่พิมพ์หินสบู่เหล่านี้ส่วนหนึ่งได้ถูกใช้ในการสร้างเครื่องทรงเพื่อประดับพระพุทธรูปทรงเครื่องในสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 5 ซึ่งถูกนำไปประดิษฐานไว้ตามวัดสำคัญในกรุงเทพมหานคร เช่น วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร

กลุ่มช่างทองหลวง

ช่างทองหลวง เป็นงานศิลปหัตถกรรมมีมาแต่โบราณ ในช่วงรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมานั้น มีการนำเครื่องทองมาประดับตกแต่งได้อย่างเสรี ช่างทองจึงถือกำเนิดขึ้นมากมาย นิยมทำเป็นทองรูปพรรณ และยังมีช่างทองเกิดขึ้นตามหัวเมืองด้วย ช่างทองที่มีชื่อเสียง เป็นช่างทองจากเมืองนครศรีธรรมราช และเมืองเพชรบุรี ในกรุงเทพฯ ก็เช่นกัน มีทั้งช่างไทยและช่างจีน สันนิษฐานว่าส่วนหนึ่งเป็นช่างทองที่หลบหนีจากการกวาดต้อนของพม่าครั้งเสียกรุงครั้งที่สอง เมื่อสถานการณ์เริ่มสงบ ก็น่าจะเข้ามาถวายตัวรับใช้ราชสำนักกรุงธนบุรี ต่อเนื่องมาจนกรุงรัตนโกสินทร์ บางส่วนก็น่าจะปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่ในหัวเมืองดังกล่าว ช่างทองหลวงจะหมายถึงช่างทองที่เข้ารับราชการในพระบรมมหาราชวัง มีทั้งแบบข้าราชการประจำ กับช่างทองที่เข้ามารับใช้เป็นครั้งคราวรับเบี้ยหวัดรายปี

ถ้าศึกษาจากข้อมูลข้างต้นแล้ว กลุ่มช่างทองหลวงในราชสำนักนี้ไม่ได้รวมอยู่ในกลุ่มช่างสิบหมู่ ตรียัมปวายเรียกช่างทองหลวงกลุ่มนี้ว่าเป็นช่างทองหลวงกลุ่มหลวงวิจารณ์เจียรนัย ประเด็นที่ว่าหลวงวิจารณ์เจียรนัยมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่นั้น เป็นประเด็นที่ยังเป็นข้อถกเถียงกัน แต่อย่างไรก็ตามจากพยานหลักฐานที่มีปรากฏ ผลงานการออกแบบ ที่ได้ประยุกต์เอาศิลปกรรมตะวันตกแบบประติมากรรมนูนต่ำ รวมถึงฝีมือในการแกะแม่พิมพ์พระสมเด็จฯ ที่เป็นฝีมือระดับช่างเทวดา พิมพ์ทรงและเนื้อหาได้มีการพัฒนาขึ้นถึงขั้นสูงสุด อัตลักษณ์เชิงช่างก็มีความเด่นชัดที่สุดเช่นกัน พระสมเด็จฯ ที่สร้างโดยช่างกลุ่มนี้นั้น ถือว่าเป็นองค์ครู เป็นจุดเริ่มต้นในการหาความจริงพระสมเด็จฯ ของบรรดาผู้ที่สนใจ

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ ขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดระฆังฯ องค์ครู อีกองค์หนึ่ง เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่ องค์ตำนาน ที่งดงามมากอีกองค์หนึ่ง เนื้อหนึกนุ่ม เนื้อมีความละเอียดปานกลาง มีเม็ดพระธาตุปรากฏให้เห็นหลายจุด มีรอยรูพรุนขนาดเล็ก หรือที่เรียกว่ารูพรุนเข็ม พื้นผนังองค์พระปรากฏรอยหนอนด้นที่เป็นเอกลักษณ์ของเนื้อพระวัดระฆังฯ ตามร่องหลุมมีคราบรักสีดำ พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา ตัดขอบเลยกรอบแม่พิมพ์เล็กน้อย ด้านหลังเป็นแบบหลังสังขยา มีขอบกระเทาะที่แสดงถึงธรรมชาติความเก่าทั้งสี่ด้าน เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ

@@@@@@

ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน

เพจเฟสบุ๊ค – พระสมเด็จศาสตร์

อ่านคอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ เพิ่มเติม