ปัญหาสุขภาพจิตวัยทำงาน พร้อมวิธีแก้ปัญหาอย่างมืออาชีพ
การใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในวัยทำงานที่ต้องพบเจอกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งความกดดันจากงาน สภาพเศรษฐกิจ และการเปรียบเทียบในสังคม ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับความเครียดสะสมจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต
โดย 5 ปัญหาสุขภาพจิตที่คนวัยทำงานมักเผชิญ ได้แก่
1. เครียดสะสม
เกิดจากการใช้ชีวิตภายใต้ความตึงเครียด ความกดดัน และความคาดหวังสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และพฤติกรรม เช่น นอนไม่หลับ เบื่อหน่าย หรือความต้องการทางเพศลดลง หากปล่อยไว้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพกาย เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หรือไมเกรน
2. ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout Syndrome)
เป็นภาวะของการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจอันมีสาเหตุมาจากความเครียดสะสมจากการทำงาน ผู้ที่มีภาวะนี้มักรู้สึกเหนื่อยล้าทางอารมณ์ มองการทำงานในแง่ลบ ขาดความสุขและแรงจูงใจ ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานและเสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้าได้

ภาพจาก iStock
3. ภาวะความพึงพอใจในตนเองต่ำ (Low self-esteem)
เป็นภาวะที่รู้สึกเศร้าใจ ไม่ชอบสิ่งที่ตนเองตัดสินใจทำ รู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า และกล่าวโทษตนเอง ผู้ที่มีภาวะนี้มักอ่อนไหวต่อเรื่องเล็กน้อย วิตกกังวล และกลัวการเข้าสังคม ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่จะนำไปสู่โรคซึมเศร้า
4. โรคซึมเศร้า (Depression)
เป็นการเจ็บป่วยที่เกิดจากความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ ความรู้สึก พฤติกรรม และสุขภาพกาย อาการที่สังเกตได้ เช่น เศร้าซึม หดหู่ เบื่อหน่ายสิ่งที่เคยชอบ หรืออาจรุนแรงถึงขั้นคิดทำร้ายตัวเอง
5. กลุ่มโรควิตกกังวลและแพนิค (Panic Disorder)

ภาพจาก iStock
เกิดจากระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ ร่วมกับความเครียดและกดดันกระตุ้น อาการที่พบบ่อย เช่น หัวใจเต้นแรง ใจสั่น เหงื่อออกมาก หายใจหอบ วิงเวียน หรือหวาดกลัวสิ่งรอบตัว
สาเหตุของปัญหาสุขภาพจิตวัยทำงาน
แม้ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นภายในจิตใจแต่ก็ส่งผลกระทบถึงสุขภาพทางกายด้วย นอกจากความเครียดด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองแล้ว พญ. เพ็ญชาญา อติวรรณาพัฒน์ หรือคุณหมอเจ จิตแพทย์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านจิตเวช ศูนย์สุขภาพใจ โรงพยาบาลวิมุต เผยว่าความกดดันที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตวัยทำงานก็มาจากปัจจัยในที่ทำงานหลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องคน และเรื่องระบบในองค์กร
“ปัญหาจากการทำงานมักมาจากขอบเขตงานที่ไม่ชัดเจน รู้สึกว่าตนเองไม่มีส่วนร่วมในการทำงาน ปริมาณงานที่หนักเกินไป เวลาการทำงานที่ยาวนาน หรือบางคนอาจรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่าเพราะได้ทำงานน้อยกว่าคนอื่น บางคนก็มองว่างานไม่ท้าทาย ส่วนคนที่เป็นน้องใหม่ก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกเพราะไม่มีใครสอนงานให้”

พญ. เพ็ญชาญา อติวรรณาพัฒน์ หรือคุณหมอเจ จิตแพทย์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านจิตเวช ศูนย์สุขภาพใจ โรงพยาบาลวิมุต
ส่วนปัญหาเรื่องคนในที่ทำงาน มีได้ตั้งแต่ระดับของผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมทีม หรือลูกน้อง ก็มีทั้งคนที่ถูกจริตและคนที่ไม่ถูกจริตเรา แต่เรามักจะแบกความไม่ถูกจริตเหล่านี้มาเป็นอารมณ์จนก้าวล่วงของคำว่าทำงานเป็นเพื่อนร่วมงานกัน กลายเป็นเอาเรื่องส่วนตัวหรืออคติทางทัศนคติบางอย่างมาเบียดเบียนจิตใจ
สำหรับปัญหาเรื่องของระบบในองค์กร เช่น ทิศทางองค์กรไม่ตรงกับคุณค่าที่เรายึดถือไว้ก็ทำให้รู้สึกขัดใจ เรื่องของผลตอบแทนที่ไม่ได้หมายถึงตัวเงินเท่านั้น แต่รวมถึงสวัสดิการ และผลตอบแทนทางใจ เช่น การได้รับคำขอบคุณที่ทุ่มเททำงานอย่างหนัก การได้รับค่าโอทีเมื่อทำงานล่วงเวลา การเป็นห่วงสวัสดิภาพของพนักงาน เป็นต้น
วิธีรับมือเพื่อแก้ไขก่อนส่งผลต่อสุขภาพจิต
เนื่องจากต้นเหตุของปัญหาสุขภาพจิตมาจากหลายปัจจัยด้วยกัน ดังนั้นวิธีการรับมือเพื่อแก้ไขจึงแตกต่างกันออกไปด้วย คุณหมอเจได้แนะนำวิธีแก้ไขในแต่ละปัจจัยไว้ดังนี้
ปัญหาเรื่องงาน
คุณหมอเจแนะนำว่าเราต้องกล้าที่จะถามตรงๆ เพื่อพิทักษ์สิทธิ์ของเรา งานไหนที่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของเรา ก็ควรแจ้งกับหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานว่าตอนนี้เราต้องทำงานอย่างอื่นในมือที่เป็นงานหลักให้เสร็จก่อนถึงจะสามารถมาช่วยทำงานรองที่มอบหมายให้มาช่วยได้
นอกจากนี้บางคนก็กดดันตัวเองมากเกินไปเพราะรู้สึกว่าการทำงานหนักแล้วมันท้าทาย เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการทำงานตามที่ตนเองหวังไว้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเราไม่ต้องเป็นคนสมบูรณ์แบบ 100% ขนาดนั้นก็ได้
ปัญหาเรื่องคน
สำหรับเรื่องของคน คุณหมอเจแนะนำว่าควรแยกความไม่ถูกใจและอคติส่วนตัวกับเรื่องของงานออกจากกัน เพื่อการทำงานอย่างเป็นมืออาชีพ
“เราสามารถที่จะรู้สึกไม่โอเคกับคนที่เป็นพิษในที่ทำงานได้ แต่ไม่ใช่ว่าเขาเป็นพิษมาต่อว่าเรา แล้วเราก็เป็นพิษต่อว่ากลับไป เขานินทาเรามา เรานินทาเขากลับ มันคงไม่ใช่ ถ้าเรารู้สึกว่าใครมาเป็นพิษกับเรา เราสามารถที่จะพูดอย่างสุภาพนุ่มนวลและตรงไปตรงมาได้ว่าที่ comment แบบนี้มีปัญหายังไงหรือเปล่า จริงๆ เราสามารถที่จะเอาตัวออกห่าง อยู่เหนือดราม่า อยู่เหนือการเมืองในที่ทำงานได้ โดยการยุ่งเท่าที่จำเป็น”

ภาพจาก iStock
หากคุยกันต่อหน้าแล้วไม่เป็นผล ลองสื่อสารกันโดยผ่านระบบงานให้มีความเป็นทางการมากขึ้น โดยใช้อีเมลในที่ทำงาน เพราะการเขียนช่วยให้เราได้ทบทวนตัวเองว่าถ้อยคำที่เราสื่อสารมีความสุภาพและเป็นมืออาชีพไหม พร้อมกับส่งโดย cc ถึงคนที่เกี่ยวข้องอย่างหัวหน้า เพื่อนร่วมงานในทีม เป็นต้น
นอกจากนี้ยังเราสามารถคุยกับ HR เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ แต่ในทางกลับกันก็อย่าลืมทบทวนตัวเองด้วยว่าเราเป็นคนที่ Toxic ต่อเพื่อนร่วมงานด้วยหรือเปล่า เพราะบางครั้งอาจจะเป็นกระจกสะท้อนตัวเราด้วยเช่นกัน แต่ถ้าหากเราไม่ได้ทำตัวเป็นพิษใส่ใคร แล้วยังมีคนทำไม่ดีใส่ ก็เป็นเรื่องที่เหนือการควบคุม ดังนั้นจึงควรถอยตัวเองออกมาแล้วสื่อสารกันเท่าที่จำเป็น
ปัญหาเรื่องระบบ
สำหรับปัญหาเรื่องระบบภายในองค์กร อาจมาจากการที่มีการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรที่เกิดจากปัญหาภายนอก แต่ถ้าหากรู้สึกว่าระบบไม่เอื้อกับการทำงานก็ควรสื่อสารกับแผนกทรัพยากรบุคคลหรือแผนกพัฒนาธุรกิจ หรือจะสื่อสารภายในทีมตนเองก่อนว่ารู้สึกไม่ดีกับระบบแบบนี้ แต่ถ้าหากทำแล้วยังไม่เป็นผลอาจจะต้องทบทวนตัวเองว่าเราเหมาะกับองค์กรนี้ไหม
“ถ้ารู้สึกว่าอึดอัดกับระบบมากจริงๆ ไม่แนะนำให้ทำไปบ่นไป แต่ถ้าจะเปลี่ยนงานก็ขอให้เปลี่ยนเพื่อไปก้าวหน้ากว่า ไม่ได้อยากให้เปลี่ยนเพราะว่ารู้สึกลบกับงานปัจจุบัน”

ภาพจาก iStock
นอกจากนี้ เรื่องของการให้คุณค่าในที่ทำงานไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องตัวเงินอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงเรื่องของคำชม รอยยิ้ม เรื่องของสวัสดิการต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้บางทีองค์กรก็มีให้ครบทุกอย่าง แต่เราไม่ใช้เอง เช่น เรื่องของวันลาที่บางคนไม่ใช้ แต่ก็ต้องดูว่าเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กรด้วยหรือไม่
“ถ้าเราลาตามสิทธิ์แล้วคนอื่นเดือดร้อน เป็นปัญหาของคนอื่นไม่ใช่ปัญหาของเรา แต่ถ้าเขาเดือดร้อนกันทั้งองค์กร อันนี้ก็แปลว่าทัศนคติอาจจะไม่ตรงกันแล้ว ถ้าเรามีสิทธิ์ลาป่วย 10 วันต่อปี แต่องค์กรนี้ไม่ค่อยมีใครลาเลย แถมเสาร์อาทิตย์ก็ทำงานให้อีก โอทีก็ไม่ได้ แบบนี้เราโอเคไหม ถ้าเราโอเคก็อยู่ได้ เพราะแต่ละคนก็ชอบไม่เหมือนกัน”
ปัญหา Work ไร้ Balance
เป็นปัญหาที่พบมากขึ้นในยุคนี้ เพราะหลายคนก็ Work from home จนขอบเขตระหว่างงานและชีวิตหายไป ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยกับการทำงานและรู้สึกว่างานมาเบียดเบียนเวลาส่วนตัวมากขึ้น
“ถ้าเราอยากให้คนอื่นเคารพเวลาของเรา เราต้องเคารพเวลาของตัวเองก่อน เดี๋ยวนี้สิ่งที่หมอเห็นหลายๆ ท่านเวลาลาเขาก็จะขึ้นสเตตัสใน Social Media ของเขาเลยว่าลานะ แล้วต้องลาจริงๆ ไม่ใช่ตัวไปเที่ยวแต่ก็ยังเช็กอีเมลที่ทำงานอยู่ เพราะเป็นสิทธิ์ของเรา ถ้าเราลาหรือว่าแม้แต่เวลาเลิกงานมันก็เป็นสิทธิ์ของเราที่เราจะต้องดูแลดูแลใช้ชีวิตของเราให้เต็มที่”

ภาพจาก iStock
แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเคารพเวลางานด้วยเช่นกัน ไม่ใช่เอาเวลางานไปทำธุระส่วนตัว เพราะถ้าเราทำงานเต็มที่ในเวลางาน เวลาพักเราก็มีสิทธิ์ที่จะพักด้วยการใช้สิทธิและสวัสดิการที่ทำงานมีให้ รวมถึงใช้เวลากับเพื่อน ครอบครัว คนรัก หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงเพื่อผ่อนคลายจิตใจ และสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน
อย่างไรก็ตาม หากรู้สึกว่าไม่สามารถรับมือกับปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง หรือภาวะเครียดเริ่มส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักจิตบำบัด หรือจิตแพทย์ นอกจากนี้ยังมีสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง