เมื่อศิลปะ และธรรมชาติหลอมรวมเป็นประสบการณ์ใหม่ ณ ศิลป่า เขาใหญ่

เมื่อผืนป่าอันร่มรืน ผสานกับกลิ่นดอกไม้นานาพรรณ พร้อมเสียง และแสงแห่งธรรมชาติ หลอมรวมเข้ากับงานศิลปะ สร้างภาพที่แปลกตา พร้อมความหมายที่หลบซ่อนอยู่มากมาย

สถานทีแห่งนี้ คือ “ศิลป่า เขาใหญ่” (Khao Yai Art Forest) ที่นี่ไม่ใช่เพียงการเดินชมงานศิลปะทั่วไป แต่เป็นพื้นที่จัดแสดงศิลปะที่มอบประสบการณ์ใหม่อันลึกซึ้งให้แก่ผู้มาเยือน 

“ศิลป่า เขาใหญ่” ถูกสร้างให้เป็นจุดหมายปลายทางแห่งใหม่ที่กำลังจะพลิกโฉมวงการศิลปะไทย และเป็นหมุดหมายที่นักเดินทางทั่วโลกของผู้แสวงหาประสบการณ์ทางวัฒนธรรมไม่ควรพลาด

สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดย สเตฟาโน ราโบลลี แพนเซรา รับหน้าที่เป็น Artistic Director ด้วยวิสัยทัศน์มุ่งมั่น ที่อยากเชื่อมโยงศิลปะ ผู้คน และธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน จึงคัดสรรศิลปิน และก่อตั้งนิทรรศการสุดพิเศษ ชื่อ “ศิลป่า” นั้นมาจากแนวคิดของการผสานคำว่า “ศิลปะ” และ “ป่า” เข้าไว้ด้วยกัน สะท้อนถึงเจตนารมณ์อันแรงกล้าในการสนับสนุน และผลักดันศิลปินให้ได้สร้างสรรค์ผลงานท่ามกลางธรรมชาติอันบริสุทธิ์

ศิลป่า เขาใหญ่ แห่งนี้ไม่ใช่เพียงพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะ แต่มุ่งหวังที่จะเป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิด การร่วมสร้างสรรค์ และการมีปฏิสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างผู้คน ศิลปะ และสิ่งแวดล้อม 

นอกจากนี้ที่นี่ยังให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ และฟื้นฟูธรรมชาติ ผ่านกิจกรรมและโครงการศิลปะที่ส่งเสริมแนวทางการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ในการเป็นแรงบันดาลใจให้วงการศิลปะไทยก้าวไปข้างหน้า และร่วมขับเคลื่อนให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านวัฒนธรรมในระดับภูมิภาคอย่างมั่นคง

ไฮไลต์ของ ศิลป่า เขาใหญ่ (Khao Yai Art Forest)

เมื่อมาเยือนศิลป่า เขาใหญ่ นักท่องเที่ยวจะได้พบกับผลงานศิลปะร่วมสมัยอย่างหลากหลายจากศิลปินระดับโลก และศิลปินไทยรังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถันและตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความงดงามของผืนป่าเขียวขจี ประกอบด้วย

Maman (ปี 2542) โดย หลุยส์ บูร์ชัวส์: ประติมากรรมแมงมุมบรอนซ์ขนาดยักษ์ ที่ยืนสง่างามท้าทายกาลเวลา เป็นตัวแทนของแม่ผู้ซึ่งทั้งโอบอุ้ม ปกป้อง แข็งแกร่งทว่าเปราะบาง และเปี่ยมด้วยความรักอันลึกซึ้งหลายมิติที่ศิลปินมีต่อแม่ของเธอ

Khao Yai Fog Forest, Fog Landscape #48435 (ปี 2567) โดย ฟูจิโกะ นากายะ: สัมผัสประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครกับ “ประติมากรรมหมอก” ที่เผยให้เห็นพลังงานเร้นลับภายในระบบนิเวศ หมอกที่พวยพุ่งขึ้นมาเป็นเสมือนสื่อกลางที่ขับเน้นการรับรู้พลวัตของสิ่งแวดล้อมรอบตัว เชื่อมโยงความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนระหว่างลม อุณหภูมิ ความชื้น และความกดอากาศ ที่น่าทึ่งคือละอองหมอกทั้งหมดเกิดจาก “น้ำที่ผลิตจากอากาศ” ด้วยเทคโนโลยีของ Aquaria ที่ใช้ประโยชน์จากอากาศรอบตัวเราได้อย่างเต็มที่ เพื่อร่วมแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำที่โลกกำลังเผชิญอยู่

K-BAR (ปี 2567) โดย เอล์มกรีน & แดร็กเซต: บาร์ลึกลับกลางผืนป่า ที่ไม่ได้เชื้อเชิญให้คุณหยุดพักเพื่อดื่มด่ำกับเครื่องดื่มเท่านั้น แต่ยังตั้งคำถามถึงความแตกต่างระหว่างความหรูหราในเมืองกับธรรมชาติอันบริสุทธิ์ แม้จะเปิดให้บริการเพียงเดือนละครั้ง (ทุกวันเสาร์ที่ 2 ของเดือน) และรองรับเพียง 6 ที่นั่ง แต่ถึงแม้ในเวลาที่บาร์ปิด ผู้มาเยือนยังสามารถชื่นชมความงามภายในผ่านกระจกใสบานใหญ่ได้

GOD (ปี 2567) โดย ฟรานเซสโก อารีนา: ประติมากรรมที่สะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับจิตวิญญาณ ความสัมพันธ์ของมนุษย์ และปฏิสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติกับความทรงจำทางวัฒนธรรม หินสองก้อนเมื่อนำมาซ้อนกันจะปรากฏคำว่า “God” แต่ไม่สามารถมองเห็นได้โดยตรง เฉกเช่นเดียวกับการจับต้องไม่ได้ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดำรงอยู่ในมิติที่เหนือกว่าการรับรู้ทางสายตา

Madrid Circle (ปี 2531) โดย ริชาร์ด ลอง: วงแหวนหินที่เรียงวางอย่างเรียบง่ายกลางผืนป่า เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความต่อเนื่อง และความสมดุล สะท้อนถึงวัฏจักรของชีวิตและจักรวาล รูปทรงพื้นฐานนี้ตัดกับความไม่เป็นระเบียบของป่าโดยรอบ เปิดพื้นที่ให้ผู้ชมครุ่นคิดถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างเจตจำนงของมนุษย์และความดิบของธรรมชาติ

Two Planets (ปี 2551) โดย อารยา ราษฎร์จำเริญสุข: โลกสองใบที่แตกต่างกันมาบรรจบกัน ระหว่างชาวบ้านในชนบทของไทยกับผลงานศิลปะที่มีชื่อเสียงในโลกตะวันตก หัวใจของงานนี้คือแนวคิดเรื่อง “บทสนทนาที่เป็นไปไม่ได้” ที่พัฒนาไปสู่การดำรงอยู่ร่วมกันและความเข้าใจในความแตกต่าง กระตุ้นให้ผู้ชมพิจารณาบทบาทของตนเองที่เชื่อมโยงระหว่างช่องว่าง ทั้งในชุมชนและระหว่างความเป็นมนุษย์กับโลกธรรมชาติ

Pilgrimage to Eternity (ปี 2567) โดย อุบัติสัตย์: ประติมากรรม 9 ชิ้นที่กระจายตัวอยู่ทั่วผืนป่า ผลงานนี้มีรากฐานมาจากการสร้างเจดีย์ที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ถูกนำมาตีความใหม่ เกิดเป็นบทสนทนาระหว่างพุทธปรัชญา ความไม่เที่ยง และความสมดุลของนิเวศ

นอกเหนือจากการเดินชมงานศิลปะท่ามกลางธรรมชาติแล้ว ศิลป่า เขาใหญ่ยังมอบประสบการณ์ทางรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ ผ่านประสบการณ์ศิลปะจากอาหารได้ที่ “Forest Foods” โดย Chef Cares เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ลิ้มรสชาติจากป่า สู่ความยั่งยืน โดยมูลนิธิ Chef Cares ร่วมกับเชฟหนุ่ม–วีระวัฒน์ ตรียเสนวรรธน์ ผู้บุกเบิกแนวทางอาหารอีสานร่วมสมัย

อาหารทุกจานถูกรังสรรค์ขึ้นจากการมองย้อนกลับไปดูความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณ โดยเฉพาะจากผืนป่าและภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดกันมาจากบรรพบุรุษ ผสานกับการเปิดรับการเปลี่ยนแปลงของโลกและแนวทางความยั่งยืน ทุกจานคือผลลัพธ์ของการร่วมมือของผู้คน ถ่ายทอดเรื่องราว วิถีชีวิต และความหวัง ผ่านรสชาติและประสบการณ์ที่คุณสามารถสัมผัสได้ในทุก ๆ คำ

ศิลป่า เขาใหญ่ จึงเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับผู้แสวงหาประสบการณ์ทางวัฒนธรรมอันมีเอกลักษณ์ ที่ซึ่งศิลปะ ธรรมชาติ และผู้คนได้เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง 

นักท่องเที่ยวสามารถเปิดโลกทัศน์ใหม่ เติมเต็มจิตวิญญาณผ่านช่วงเวลาแห่งความสงบผ่อนคลาย พร้อมรับแรงบันดาลใจ และเก็บเกี่ยวความทรงจำอันแสนประทับใจกลับไป