วิธีประหยัดค่าใช้จ่ายในวันทำงาน เซฟอะไรได้บ้าง แต่ความสุขยังไม่หายไป

ในยุคที่เศรษฐกิจซบเซา ไม่มีอะไรแน่นอน การใช้ชีวิตในแต่ละวันจึงต้องประหยัดมากขึ้น โดยเฉพาะวันทำงานที่ต้องมีค่าใช้จ่ายมากมาย จะมีวิธีประหยัดเงินอย่างไรได้บ้าง เรารวมไอเดียมาให้แล้ว

หมวดค่าเดินทาง

สำหรับคนที่ต้องเดินทางเข้าออฟฟิศหรือไปพบปะลูกค้าเป็นประจำ ค่าเดินทางก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่เลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเรามีวิธีประหยัดค่าเดินทางมาแนะนำดังนี้

1. รถสาธารณะ

การใช้รถสาธารณะสามารถช่วยประหยัดค่าเดินทางได้ โดยเฉพาะการใช้รถเมล์ แต่ถ้าหากต้องการความรวดเร็วและเลี่ยงรถติด การใช้รถไฟฟ้า BTS และรถไฟฟ้า MRT ก็เป็นทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะผู้ที่ใช้รถไฟฟ้าในการเดินทางเป็นประจำ การซื้อแพ็คเกจรายเดือน ก็เป็นวิธีประหยัดค่ารถไฟฟ้าที่นับว่าคุ้มค่ามากทีเดียวเมื่อเทียบกับการจ่ายเป็นรายเที่ยว โดยมีรายละเอียดดังนี้

หมวดค่าเดินทาง, 1. รถสาธารณะ, 2. รถยนต์ส่วนตัว, หมวดค่าอาหารและเครื่องดื่ม, อาหาร, เครื่องดื่ม

ภาพจาก iStock

  • รถไฟฟ้า BTS แพ็คเกจรายเดือนสำหรับบุคคลทั่วไป : เริ่มต้นที่ 10 เที่ยว ราคา 400 บาท ระยะเวลา 60 วัน, 15 เที่ยว 570 บาท ใช้ได้ 30 วัน, 25 เที่ยว 900 บาท ใช้ได้ 30 วัน และ 35 เที่ยว 1,190 บาท ใช้ได้ 30 วัน
  • รถไฟฟ้า BTS แพ็คเกจรายเดือนสำหรับนักเรียน นักศึกษา : เริ่มต้นที่ 10 เที่ยว 320 บาท ใช้ได้ 60 วัน, 15 เที่ยว 465 บาท ใช้ได้ 30 วัน, 25 เที่ยว 725 บาท ใช้ได้ 30 วัน และ 35 เที่ยว 945 บาท ใช้ได้ 30 วัน
  • รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน แพ็คเกจรายเดือนสำหรับบุคคลทั่วไป : เริ่มต้นที่ 10 เที่ยว 250 บาท ใช้ได้ 7 วัน, 15 เที่ยว 450 บาท ใช้ได้ 30 วัน, 25 เที่ยว 700 บาท ใช้ได้ 30 วัน, 35 เที่ยว 875 บาท ใช้ได้ 30 วัน
  • รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน แพ็คเกจรายเดือนสำหรับนักเรียน นักศึกษา : เริ่มต้นที่ 10 เที่ยว 200 บาท ใช้ได้ 7 วัน, 15 เที่ยว 375 บาท ใช้ได้ 30 วัน, 25 เที่ยว 575 บาท ใช้ได้ 30 วัน, 35 เที่ยว 700 บาท ใช้ได้ 30 วัน
  • รถไฟฟ้า MRT สายสีเหลือง แพ็คเกจรายเดือนสำหรับบุคคลทั่วไป : เริ่มต้นที่ 10 เที่ยว 250 บาท ใช้ได้ 7 วัน, 15 เที่ยว 450 บาท ใช้ได้ 30 วัน, 25 เที่ยว 700 บาท ใช้ได้ 30 วัน, 35 เที่ยว 875 บาท ใช้ได้ 30 วัน
  • รถไฟฟ้า MRT สายสีเหลือง แพ็คเกจรายเดือนสำหรับนักเรียน นักศึกษา : เริ่มต้นที่ 10 เที่ยว 200 บาท ใช้ได้ 7 วัน, 15 เที่ยว 375 บาท ใช้ได้ 30 วัน, 25 เที่ยว 575 บาท ใช้ได้ 30 วัน, 35 เที่ยว 700 บาท ใช้ได้ 30 วัน

2. รถยนต์ส่วนตัว

สำหรับผู้ที่เดินทางไปทำงานโดยรถยนต์ส่วนตัว เว็บไซต์ Toyota Sure ได้แนะนำทริคการขับรถให้ประหยัดน้ำมันไว้ดังนี้

หมวดค่าเดินทาง, 1. รถสาธารณะ, 2. รถยนต์ส่วนตัว, หมวดค่าอาหารและเครื่องดื่ม, อาหาร, เครื่องดื่ม

ภาพจาก iStock

  1. ไม่ออกรถกระชาก เพราะการออกตัวแบบกระชากทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน และยังเสี่ยงต่อการสึกหรอของเครื่องยนต์และเกียร์
  2. ขับรถด้วยความเร็วคงที่และสม่ำเสมอ เป็นวิธีประหยัดน้ำมันที่เห็นผลมากที่สุด โดยช่วงความเร็วที่แนะนำควรอยู่ระหว่าง 80 - 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
  3. ไม่เบรกรถกะทันหัน เนื่องจากการเบรกกะทันหันบ่อยๆ ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันไม่แพ้การขับรถเร็ว
  4. ใส่เกียร์ว่างตอนรถติด ช่วยลดการจ่ายน้ำมันเข้าเครื่องยนต์มากกว่าการเข้าเกียร์ D แล้วเหยียบเบรก
  5. เช็กลมยางสม่ำเสมอ และเติมให้เหมาะสมกับประเภทรถ ช่วยลดอัตราการกินน้ำมันได้จากการยึดเกาะถนนที่ดี
  6. เปิดแอร์อุณหภูมิที่เหมาะสม ช่วยลดภาระการทำงานของคอมเพรสเซอร์ และไม่กินแรงเครื่องยนต์ สามารถช่วยลดการใช้น้ำมันได้มากกว่า 10 - 20%
  7. เช็กเครื่องยนต์สม่ำเสมอ โดยสิ่งที่ควรตรวจเช็กบ่อย คือ ระบบการจุดระเบิด สภาพหัวเทียนที่พร้อมใช้งาน ไส้กรองอากาศไม่ตัน และระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์ เมื่อเครื่องยนต์ทำงานได้เต็มระบบก็จะใช้เชื้อเพลิงได้อย่างเหมาะสม
  8. ขนสัมภาระเท่าที่จำเป็น การขนสัมภาระที่มากเกินไป ทำให้เครื่องยนต์ต้องรับภาระมากขึ้นกว่าเดิม และทำให้เราต้องเหยียบคันเร่งมากขึ้นตามไปด้วย
  9. ดับเครื่องเมื่อจอดรถ การจอดติดเครื่องนาน 5 นาที จะทำให้สูญเสียน้ำมันไปถึง 100 cc. ยิ่งจอดทิ้งไว้นานก็ยิ่งเปลืองน้ำมันมากขึ้นเรื่อยๆ หากต้องจอดนานเกิน 5 นาที ควรดับเครื่องเพื่อประหยัดทั้งน้ำมัน และลดมลพิษในอากาศ
  10. ถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะที่กำหนด เพื่อช่วยหล่อลื่นเครื่องยนต์ให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ควรเปลี่ยนถ่ายทุก ๆ 5,000 - 10,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน เพื่อให้เครื่องยนต์เผาไหม้ได้สมบูรณ์ที่สุด

หากใครที่มีแผนจะซื้อรถยนต์ใหม่ รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์แบบไฮบริด ก็เป็นทางเลือกสำคัญที่ช่วยตอบโจทย์การประหยัดค่าน้ำมันได้อย่างดี โดยเฉพาะผู้ที่ขับรถไปทำงานทุกวัน

ส่วนผู้ที่ไม่ได้ขับรถยนต์ไปทำงานเป็นประจำทุกวัน หรือนานๆ ขับรถยนต์สักที การใช้ตัวเลือกจากแอปพลิเคชันเรียกรถแท็กซี่ก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะหลายแอปมักจะมีโปรโมชั่นหรือคูปองลดราคามาช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ อีกทั้งยังสะดวกสบาย และช่วยลดค่าใช้จ่ายจากค่าบริการที่จอดรถในกรณีที่ขับรถส่วนตัวอีกด้วย

หมวดค่าอาหารและเครื่องดื่ม

อาหาร

หมวดค่าเดินทาง, 1. รถสาธารณะ, 2. รถยนต์ส่วนตัว, หมวดค่าอาหารและเครื่องดื่ม, อาหาร, เครื่องดื่ม

ภาพจาก iStock

  1. ทำอาหารเอง : หากใครทำอาหารเองเป็นประจำ การทำอาหารรับประทานเองเตรียมไว้ทีละหลายๆ มื้อก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องค่าอาหารได้มาก โดยสามารถทำครั้งเดียวแล้วแบ่งใส่กล่องเพื่อนำไปรับประทานที่ทำงานเป็นมื้อเที่ยงและมื้อเย็นได้ ซึ่งนอกจากช่วยให้ประหยัดแล้วยังคุมรสชาติและวัตถุดิบในแบบที่ต้องการได้อีกด้วย
  2. ซื้ออาหารรับประทาน : ผู้ที่ไม่สะดวกทำอาหารเอง แต่ถ้าต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก็สามารถทำได้ด้วยการจำกัดงบประมาณค่าอาหารมื้อเที่ยงในแต่ละวัน เช่น ไม่เกิน 80 - 100 บาท รวมทั้งควรงดอาหารจุกจิก เช่น ขนม หรือของกินเล่นต่างๆ แล้วเปลี่ยนมารับประทานผลไม้ที่น้ำตาลต่ำแทน โดยทำอย่างต่อเนื่องทุกวัน ซึ่งนอกจากช่วยให้เราประหยัดค่าอาหารได้มากขึ้นแล้วยังทำให้สุขภาพดีขึ้นจากการลดน้ำตาลอีกด้วย

เครื่องดื่ม

ผู้ที่ชอบดื่มกาแฟหรือชาเพื่อเติมความสดชื่นและให้สมองตื่นตัวในวันทำงาน การลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ด้วยการมีตัวเลือกที่ประหยัดกว่าก็เป็นทางออกที่น่าสนใจ เช่น

หมวดค่าเดินทาง, 1. รถสาธารณะ, 2. รถยนต์ส่วนตัว, หมวดค่าอาหารและเครื่องดื่ม, อาหาร, เครื่องดื่ม

ภาพจาก iStock

  1. กาแฟหรือชาสำเร็จรูป : หากไม่เน้นที่รสชาติความอร่อยหรือคุณภาพของเมล็ดกาแฟหรือใบชามากนัก การใช้ตัวเลือกจากกาแฟหรือชาแบบซอง 3 in 1 ก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก เพราะมักจะผสมรสชาติมาได้อย่างลงตัว และวิธีการชงก็ง่ายดาย รวดเร็วอีกด้วย
  2. กาแฟดริปหรือกาแฟแคปซูล : เป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่เน้นคุณภาพของเมล็ดกาแฟ เพราะมีตัวเลือกหลากหลาย ขอเพียงแค่มีอุปกรณ์และมีเวลาในการชง ก็สามารถดื่มด่ำรสชาติที่ต้องการได้ในราคาที่ย่อมเยาลง
  3. ชงมัทฉะด้วยตนเอง : สำหรับนักดื่มสายมัทฉะการเลือกคุณภาพผงมัทฉะและชงดื่มเองก็เป็นความสุนทรีย์อย่างหนึ่ง และช่วยประหยัดกว่าการซื้อที่ร้าน ขอเพียงแค่มีอุปกรณ์และมีเวลาเพียงพอก็ตอบโจทย์นี้ได้
  4. กาแฟ Cold brew แบบถุงเติม : เป็นทางเลือกของผู้ที่ชอบรสชาติกาแฟแบบสกัดเย็นหรือ Cold brew เพราะมีเมล็ดกาแฟให้เลือกหลากหลายรสชาติ และมาในรูปแบบของถุงเติมที่สามารถนำไปแบ่งดื่มหรือผสมกับนมชนิดต่างๆ ได้เองในแต่ละวัน จึงทำให้มีราคาถูกลง
  5. กาแฟหรือชาแบบขวดสำเร็จรูป : เหมาะกับผู้ที่เน้นความสะดวกรวดเร็วและราคาย่อมเยา เพราะหาซื้อง่ายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป และมีให้เลือกหลายยี่ห้อ หลายรสชาติ แต่อาจไม่ตอบโจทย์ผู้ที่เน้นรสชาติหรือคุณภาพเมล็ดกาแฟกับใบชามากนัก

นอกจากนี้ หากที่ทำงานใครมีตลาดนัด ก็ควรพยายามหักห้ามใจไม่ให้เดินเล่นชมสิ่งของต่างๆ เหล่านี้ทุกวัน เพราะกระตุ้นให้เกิดการซื้อของที่ไม่จำเป็นได้ เว้นแต่ว่ามีของที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ ค่อยตัดสินใจซื้อ และควรท่องจำไว้ก่อนซื้อของทุกครั้งว่าสิ่งที่เราสนใจนั้นจำเป็นกับการใช้ชีวิตมากน้อยแค่ไหน เพราะถึงจะมีมูลค่าไม่มากนัก แต่ถ้าหากซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้หรือใช้ไม่คุ้มก็เท่ากับเราเสียเงินไปฟรีๆ เช่นกัน